Thursday, August 20, 2015

Kenya Diary บทที่ 2 : Let's get out of the city (Lake Naivasha)

เผลอแว่บเดียวอยู่เคนยามาจนครบเดือนแล้ว ไม่เคยได้เห็นสัตว์ป่า wildlife อะไรกับเค้าเล้ยซักอย่างเดียว(น่าผิดหวังจริง ๆ) ชีวิต ๆ วัน ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ จะออกไปไหนมาไหนก็เสียดายค่า Taxi ขอบอกว่าที่ไนโรบี มี Uber taxi ด้วยนะ ราคาไม่แพงแต่อาจจะปวดหัวกับคนขับนิดหน่อย(ไม่รู้จักทางมั่ง พาอ้อมโลกมั่ง แต่บางคนดี ๆ ก็มี)
อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนบ้าน(ทำงานที่เดียวกับคุณผช. ด้วย) ก็มาชวนออกไปเที่ยวทะเลสาปนอกเมืองซะงั้น ก็เลยได้โอกาสออกไปเที่ยวชมธรรมชาติกันบ้างแล้ว 


นัดกันไว้ดิบดี เจอกันที่ลานจอดรถหน้าบ้านตอนเช้า วันเสาร์ เวลา 9.30 น. ล้อหมุนไปเติมน้ำมันเต็มถัง และ ซื้อน้ำและเสบียงอีกนิดหน่อย เซตอัพ GPS แล้วก็ขับรถไปหลงทางในสลัมเกือบ 15 นาที (ตื่นตาตื่นใจมาก ไม่กล้ายกกล้องขึ้นถ่ายรูปเลย กลัวถูกปล้น) ซักพักก็ออกมาเจอไฮเวย์และเดินทางต่อ  การขับรถในประเทศนี้ก็ง่ายมากขับรถฝั่งเดียวกันกับไทยแลนด์บ้านเรา เพียงแต่ว่าที่นี่ไม่ต้องเคารพกฎเกณฑ์อะไร นึกอยากขับแบบไหนก็ขับไป ลุ้นกันเอาเอง ไม่มีเลน ไม่มีสัญญาณไฟ ไหล่ทาง ฟุตบาท ขับขึ้นไปได้เลยตามใจ

ทะเลสาปที่เราจะไปนั้นมีชื่อว่า Lake Naivasha อยู่ห่างจาก ไนโรบีไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เกือบ ๆ 100 กิโลเมตร ตาม 2 ข้างทางก็จะมีขายข้าวโพดปิ้ง แอ้ปเปิ้ล น้ำ ขนม อยู่เป็นระยะ ๆ ตามเพิงข้างทางก็จะขายหมวก พรม ทำจากหนังสัตว์



ขับรถมาได้ซักพัก ก็หยุดรถ ณ จุดชมวิว เพื่อยืดเส้นยืดสาย ตรงจุดนี้จะมีร้านขายของที่ระลึก



ลักษณะภูมิประเทศจะเป็นภูเขาสูง



วิวสวยมาก ๆ ค่ะ อากาศดี๊ดี แต่แดดนี่สิเปรี้ยงมาก






<< สมาชิกร่วมทริป 3 คนเรา






<< ตาม 2 ข้างทางก็จะมีบ้านเรือนเป็นระยะ ๆ ค่ะ มีปลูกผักสวนครัวไว้รอบ ๆ

 ผู้คนที่นอกเมืองนี้ ส่วนใหญ่ก็ยังปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ หลาย ๆ บ้านจะเลี้ยงเจ้า donkey(ลา) เพื่อเอาไว้ลากรถลากบรรทุกของ เป็นพาหนะสัญจรไปมา 






ในขณะที่อีกหลาย ๆ บ้านก็เลี้ยงวัว มีการต้อนวัวออกไปเดินเล็มหญ้าตามที่ต่าง ๆ แล้วก็จะต้อนฝูงวัวกลับเข้าคอกในตอนเย็น ๆ



 เราก็พากันขับรถเฮฮามาเรื่อย ๆ อยู่บ้านนี้เมืองนี้อย่าไปไว้ใจ GPS มากเกินไปค่ะ พาหลงทางเข้ารกเข้าพงมานักต่อนักแล้ว ให้พกเอาแผนที่ไว้ดูประกอบคร่าว ๆ ไปด้วย พอมาถึงตอนนี้ชักจะหิว(นี่ถ้าเป็นเมืองไทยคงจะพกเนื้อแดดเดียวทอดกับข้าวเหนียว 1 กระติบมาด้วย) เลยตกลงกันว่าจะหยุดพักทานข้าวกลางวันกันที่โรงแรมแห่งนึง มีร้านอาหารด้วย ในใจไม่กล้าแวะกินอะไรแปลก ๆ (กลัวท้องเสียแล้วจะยาก) แต่ที่ร้านนี้มีข้าวผัดจีนด้วยแฮะ เลยสั่งข้าวผัดไป ชาวคณะก็สั่ง เสต็ก สั่งปลา ไปเรื่อย




 อาหารออกมาหน้าตาดี รสชาติดีพอใช้ได้ ที่เห็นในรูปคือชุด starter คือเอามาให้กินรองท้องก่อนอาหารที่เราสั่งจะมา สลัดอร่อย และ ขนมปังอุ่น ๆ นุ่มนิ่มมาก กินจนเกลี้ยง



ขับรถมาตามทางเลาะริมทะเลสาปมาเรื่อย ๆ ก็จะมีรีสอร์ท แคมป์ไซด์ท่าเรือ ร้านอาหาร โรงแรม เปิดเรียงราย กันเป็นระยะ ๆ หลัก ๆ กิจกรรมที่มีก็คือการล่องเรือในทะเลสาปดูฮิปโป นก นานา ชนิด และ ชื่นชมธรรมชาติ ขับมาไกลพอสมควร เราก็ตกลงใจกันเข้าไปที่ Fisherman's Camp ที่นี่จะมีบริการทั้งห้องพัก แคมป์ไซด์ ล่องเรือ บาร์ และ ร้านอาหาร พอขับรถเข้ามาก็จะเจอจุดตรวจ ซึ่งจะมี รปภ.มาจดทะเบียนรถ และ จำนวนคนที่จะเข้าไปข้างในพื้นที่




 ขับรถเข้าไปจอดยังลานจอดรถแล้ว ก็จะมองเห็นออฟฟิศ อยู่ที่ด้านหลังลานจอดรถ เป็นกระต๊อบไม้เก่า ๆ (สไตล์วินเทจ ha~ha)



เดินเข้าไปสอบถามก็จะมีเมนูกิจกรรมให้เลือกมากมาย แต่ครั้งนี้เราตั้งใจมาแบบ one day tours จ้า เลยเลือกที่จะลงเรือไปดูฮิปโป


หลังจากเลือกกิจกรรมแล้ว ทางออฟฟิศจะวิทยุแจ้งคนเรือมารับ ก่อนจะเดินไปลงเรือก็จะมีป้ายบอกราคาปักเอาไว้ ตรงจุดนี้เราจะต้องรับเอาเสื้อชูชีพมาใส่ด้วย ค่านั่งเรือ 1 ชม. ราคา 3,500 ชิลลิ่ง หรือ ราว ๆ 1,200 บาท 








<< ที่แจกเสื้อชูชีพมีหัวกะโหลกควายวางไว้ด้วย และ ด้านหลังยังมีอีกหลายกะโหลก (วางไว้เพื่อ???)





 ทางเดินไปขึ้นเรือ(อันนี้คล้าย ๆ บ้านเราเลย)


 ได้เรือลำสีเขียวนะคะ ไม่มีหลังคา แดดงี้แผดเผามาก ๆ แต่ลมเย็น ๆ พัดเป็นระยะ ๆ ไม่รู้สึกร้อนเลย (แต่มาดามลืมทากันแดดจร้า)




 เรือแบบมีหลังคาก็มีนะ




 เรือออกแล้ว เย้ เย้.....ฮิปโป อยู่ไหน???





 จุดแรกมาแวะชมนกกันก่อน กางปีกผึ่งขน




 มัวแต่ตื่นเต้น คนเรืออธิบายว่านกอะไรก็ไม่ได้ฟัง 



และอีกเช่นเคย นกในรูปนี่ไม่รู้ว่าคือนกอะไร ตามทางที่นั่งเรือแวะชมนกไปก็จะเจอกอต้นกก ขึ้นกันเยอะแยะเลย ถ้าเป็นบ้านเรา คงถูกตัดไปตากแห้งแล้วสานเป็นเสื่อกันหมดแล้ว ที่นี่ก็มีชาวบ้านมาตัดไปบ้างแต่สานเป็นมูลี่เอามาขายเป็นที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว



 เป็นนกตัวเดียวที่รู้จักแบบไม่ต้องมีใครบอก "เหยี่ยว"



 นี่ก็ไม่รู้ว่านกอะไร ยืนนิ่ง ๆ สวย ๆ ให้เราถ่ายรูป พอได้ใกล้ชิดธรรมชาติแบบนี้ รู้สึกสดชื่นบอกไม่ถูก



 นกที่นี่มีเยอะมาก อยู่ตัวเดียวบ้าง อยู่รวมกันเป็นฝูงบ้าง แต่เอ๊ะ!!! ตั้งใจมาดูฮิปโปนะ ทำไมเห็นแต่นกเต็มไปหมด คนเรือบอกใจเย็น ๆ



 นี่ก็นกอีกแล้ว แต่นั่งเรือไปเอื่อย ๆ เงียบ ๆ ลมเย็น ๆ มองไปรอบ ๆ รู้สึกสดชื่นจริง ๆ ภาพถ่ายดูยังไงก็ไม่สวยเท่าต้องลองไปสัมผัสเอง



 เห็นรูปแล้วอย่าเพิ่งหงุดหงิดนะ นี่ถ่ายย้อนแสงบ้าง สู้แสงบ้าง และที่สำคัญ กล้องปัญญาอ่อนมาก ซูมแล้ว ซูมอีก ได้เท่านี้(พี่เพลีย) Lake Naivasha นี้กินพื้นที่ ราว 139 กิโลเมตร ความลึกโดยเฉลี่ยประมาณ 6 เมตร และ จุดที่ลึกที่สุดมีความลึกประมาณ 30 เมตร สภาพภูมิประเทศโดยรอบสวยงามมาก ๆ ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วจะเข้าใจความรู้สึก


ภาพนี้คือ นกกระทุง สวยงามมาก ๆ แต่กล้องเรามันไม่ได้ดั่งใจเลย สวยสุดได้เท่านี้



มาถึงตรงนี้เราเริ่มเห็นอะไรผลุ่บ ๆ โผล่ ๆ แล้ว



เห็นแล้วฮิปโป เย้ เย้..... คือ ผ่านฮิปโปมาหลายฝูงมาก แล้ว มันก็ขี้อายพอรู้ว่ามีเรือมาใกล้ มีคนมาแอบดู เจ้าฮิปโปก็ค่อย ๆ ผลุบหายลงไปใต้น้ำ เหลือแต่จมูกกับตา แต่เจ้าตัวนี้โผล่ขึ้นมาให้ถ่ายรูปเลย พระเอกมาก ๆ


เวลาเราเจอฮิปโปก็จะเข้าไปใกล้ ๆ ไม่ได้นะคะ ต้องแอบมองมันใกล้หน่อยแล้วซูมกล้องเอา ซึ่งกล้องเราก็นะ cannon powershot อ่ะ(เสร็จงานนี้เก็บเงินซื้อกล้องเลย)



 ถ่ายรูปได้ซักพัก เจ้าพระเอกฮิปโปนี่ก็ ค่อย ๆ หายลงไปใต้น้ำตามระเบียบ


คนเรือก็พาเลาะมาอีกที่ทันที โอ้ย!!! สวยงามมาก ตามภาพเลย สวยจนบรรยายไม่ถูก


 หันหัวเรือออกไปทางกลางทะเลสาป ย่านนี้ก็จะเจอนกกระทุงเยอะหน่อย


สวยงาม (รอบหน้าคงต้องถอยกล้องใหม่)



 รูปก็ถ่ายย้อนแสงไปมาแล้วเอามาปรับสีทีหลังค่ะ



ภาพนี้ตอนหันหัวเรือจะกลับเข้าฝั่งแล้วค่ะ


บ๊าย บาย นะน้องนก



มีเล่นสกีน้ำด้วยนะเออ 


 ตอนกลับเราจะผ่านโซนที่เค้าให้บริการนักท่องเที่ยวมาตั้งเต็นท์ แคมป์ปิ้ง กันด้วยค่ะ คราวหน้าไม่พลาดแน่บรรยากาศดีร่มรื่นมาก ๆ







<< จบทริปเรือแล้ว กลับเข้าฝั่งกัน ได้ภาพสวย ๆ มาเยอะ ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ แล้วสดชื่นยิ้มปากบานกันเลยทีเดียว เดี๋ยวพอขึ้นฝั่งแล้ว เราจะไปนั่งพักกันซักแป๊บนึง ก่อนออกเดินทางเลาะริมทะเลสาปชื่นชมธรรมชาติไปเรื่อย ๆ ค่ะ


 ขึ้นฝั่งปุ๊บ วิ่งปั๊บอย่างรวดเร็ว ที่เห็นเป็นกระท่อมในภาพนี่คือห้องน้ำค่ะ มีใครรู้สึกเหมือนเราไม๊ว่าสภาพมันดูดีกว่าออฟฟิศวินเทจ ในภาพด้านบน


นี่เป็นบาร์ และ ร้านอาหาร


ขอเข้าไปจิบน้ำสักพักให้หายเหนื่อยก่อนนะคะ อ่อ..ด้านหลังมีเตาพิซซ่าแบบใช้ถ่านด้วย


ระหว่างนั่งพัก ก็มีน้องลิงหน้าดำ ๆ ออกมาโชว์ตัว


น้องลิงนั่งโชว์ตัวซักพักก็ไป ด้านหลังน้องลิงจะเห็นเป็นรั้วลวดปล่อยกระแสไฟฟ้าล้อมอยู่นะคะ ที่มีป้ายเหลือง ๆ แปะ น้องลิงจะข้ามรั้วโดยการกระโดดเกาะต้นไม้ที่อยู่สูงกว่ารั้ว แล้วกระโดดข้ามไปอีกฝั่ง ขากลับออกมา เจอลิงตัวดำ ๆ แล้วมีขนยาว ๆ สีขาวขึ้นกระจายตามแขนขา เสียดายงัดกล้องขึ้นถ่ายรูปไม่ทัน (เอาไว้คราวหน้าไม่พลาดแน่ ๆ)



<< ขับรถออกมาได้ซักพัก ก็หยุดปรึกษากันระหว่างทาง ว่าจะไปต่อกันที่ไหนดี สรุปว่าขับรถเล่นไปเรื่อย ๆ กินลมชมวิว




วิวข้างทาง มองทะลุต้นไม้ไปจะเห็นทะเลสาปอยู่รำไร



ซูมแล้ว ซูมอีก ทางฝั่งนี้มั่ง เจอครอบครัวยีราฟ



เหตุผลที่ต้องยืนถ่ายไกล ๆ เพราะ 1.กลัวยีราฟไล่เตะ 2.มันเป็นที่ส่วนบุคคลไปซะแล้ว เลยเดินเข้าไปใกล้ไม่ได้



ครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นยีราฟป่าตัวเป็น ๆ ตื่นเต้นมาก


จบจากยีราฟขับรถเลยมาอีกหน่อย กรี๊ด!!! เจอกับฝูงละมั่งป่า


ละมั่งเป็นฝูงเลย


สังเกตว่าจะมีตัวหนึ่งจ้องมองเรา ตัวนี้เป็นการ์ดระวังภัยให้ฝูงค่ะ



ไม่เฉพาะฝูงละมั่งนะ ตอนนี้เราเริ่มจะเห็นม้าลายแล้ว



เพิ่งเคยเห็นม้าลายตัวเป็น ๆ ครั้งแรกในชีวิต มันดูตลกมาก ๆ



สัตว์ป่าเหล่านี้ใช้ชีวิตร่วมกันได้ ไม่มีปัญหา ต่างยืนเล็มหญ้าไปเรื่อย ๆ


แล้วเราก็เจอกับฝูงหมูป่า ถ้าเป็นบ้านเราคงโดนจับกินไปแล้วแน่ ๆ ไม่ได้มาวิ่งเล่นปะปนกับละมั่ง , ม้าลาย กันแบบนี้หรอก



เห็นแล้วอยากอุ้มม้าลายกลับบ้านด้วยซักตัว น่ารักดี



เห็นม้าลายตัวมุมซ้ายไม๊คะ ตัวนี้เป็นการ์ดแน่ ๆ จ้องเราใหญ่เลย ไม่ขยับไปไหน ท่าทางเอาเรื่อง หวังว่ามันคงไม่วิ่งไล่งับเรานะ ไม่งั้นคงฮากระจายโดนม้าลายวิ่งไล่ ha~ha


จ้องมองจริงจัง จริง ๆ กลัวแล้วจ้า



ระหว่างที่เดินลุยทุ่งลงไปถ่ายรูป ก็จะมีพุ่มไม้เตี้ย ๆ ขึ้นอยู่รอบ ๆ เป็นหย่อม ๆ พอก้มลงดูใกล้ ๆ อาหารเกิดทันที มันคือพุ่มราสเบอร์รี่ เห็นแล้วอยากเก็บมากิน แต่คุณ ผช. ห้ามไว้ซะก่อน


นอกจากพุ่มราสเบอร์รี่ พุ่มไม้ต่าง ๆ แล้ว ก็ยังมีต้นกระบองเพชร แล้วกระบองเพชรที่นี่ขึ้นสูงจริงจังเป็นต้นใหญ่ ๆ เยอะมาก


เดินเข้าไปสำรวจใกล้ ๆ ดูซิเจออะไร เฮ้ย....นี่มันต้นกะเพราชัด ๆ อาหารเกิดแน่ ๆ งานนี้ มาร์กจุดใน GPS ไว้แล้วคราวหน้าจะมาขุดเอาต้นนี้กลับบ้านด้วย ha~ha เอาไปผัดกะเพรากิน^^


ทีนี้เราขับรถไปตามทางเรื่อย ๆ 


ถนนหนทางเป็นแบบนี้


งบลาดยางให้ถนนคงหมดแต่เพียงเท่านี้สินะ


นี่คือถนนในหมู่บ้าน จะเห็นบ้านตั้งประปรายอยู่ตามข้างทาง


ไม่น่าเชื่อว่าถนนแบบนี้ ชาวบ้านก็ยังทนอาศัยอยู่ ฤดูฝนนี่คิดสภาพไม่ออกเลย


ภาพนี้คือขับผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งในระหว่างทางกลับ จะมีชาวบ้านยืนอยู่ริมถนนเพื่อรอรถโดยสารกลับบ้าน เราเองก็รีบกลับเหมือนกันเพราะเที่ยวเพลินกันจนเกือบจะ 5 โมงเย็นแล้ว กว่าจะขับรถกลับถึงบ้านคงมืดค่ำ ที่นี่พอมืดแล้วขับรถยากมาก เพราะไม่มีไฟฟ้าส่องสว่างตามข้างทาง แล้วคนก็ตัวมืด ๆ ทำให้มองเห็นได้ลำบาก

จบทริปเที่ยว 1 วัน จาก ไนโรบี to ทะเลสาป Naivasha แล้วนะคะ หวังว่าภาพที่มาดามเก็บมาฝากคงจะถูกใจหลาย ๆ คน (ภาพไหนไม่สวยโทษกล้องได้เลยนะจ๊ะ อย่าโทษคนถ่าย) ทริปหน้า อยากไปดูฝูงนกฟลามิงโก้มาก ๆ ไม่รู้จะมีโอกาสเมื่อไหร่ แต่จะเก็บภาพบรรยากาศสวย ๆ มาฝากแน่นอนค่ะ^^




ปิดทริปขอลาไปด้วยรูปยีราฟแบบใกล้ ๆจ้า