ทุกวันศุกร์จะมีกิจกรรมเรียนนอกสถานที่่ นักเรียนในห้องก็จะมาโหวตกันว่าศุกร์นี้เราจะไปไหนกันดีเอ่ย และศุกร์นี้หลังจากเล่นเกมบิงโกชิงรางวัลของนักเรียนภาคเช้าแล้ว เราก็โหวตกันว่าจะไปดูซานต้าคลอสที่ห้างเมซี่ ใกล้ ๆ นี่เอง รอบ ๆ ห้างก็ตกแต่งอย่างสวยงามคนก็เยอะแยะเต็มไปหมด ตามที่ทุกคนได้เห็นรูปไปแล้วในเฟซบุ๊ค หลังจากดูซานต้าเสร็จแล้ว พวกเราก็ไปรวมตัวกันที่สตาร์บัคข้าง ๆ โรงเรียน ซาโอริ เพื่อนชาวญี่ปุ่นถามว่าเย็นวันนี้มีแพลนจะไปไหนไม๊??? ก็เลยบอกว่าจะไปเดินหางานทำจ๊ะ แต่คงเดินซัก 2-3 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็ว่าง ทำไมเหรอ???
ซาโอริก็เลยถือโอกาสชวนไป MoMA Museum ชื่อเต็ม ๆ คือ The Museum of Modern Art มันคืออะไร ยังไง ไม่รู้หล่ะ ขณะที่กำลังงง ซาโอริบอกว่า วันศุกร์ หลัง 4 โมงเย็นเค้าเปิดให้ชมฟรี อ่า....นะ ฟรีเหรอ งั้นไป อิ อิ พอดี ลูเซียเพื่อนชาวสเปนอีกคนเดินมาได้ยินเข้าพอดี เราสามคนเลยตกลงไปด้วยกัน โดยนัดเจอกันที่โรงเรียนอีกทีตอน 4 โมงเย็น แล้วค่อยไปพร้อมกัน
ก่อนแยกย้ายไปหางานเพื่อนถามว่าจะไปเดินหางานแถวไหน ก็เลยบอกไปว่ามีคนแนะนำไปเดินแถว ๆ 8 , 9 Ave.จะมีร้านอาหารไทยเยอะเลยว่าจะลองไปดู ซาโอริรีบกางแผนที่(ฉบับภาษาญี่ปุ่น)แล้วจิ้มไปแถว ๆ ไหนไม่รู้ในแผนที่ แล้วก็บอกว่า "พยายามอย่าเดินไปที่นั่นนะ ย่านฮาเลมหน่ะ อันตราย" ลูเซียก็บอกอีกว่า "อันตรายจริง ๆ อย่าไป" ก็ดูจากแผนที่แล้วก็ไกลจากที่เราจะไปอยู่ ก็เลยบอกเพื่อนว่า "โอเค ฉันจะไม่เดินไปแถวนั้น" ก่อนออกมาเพื่อนทั้งสองก็อวยพรขอให้โชคดีได้งาน ปรากฎว่าเดินไปเดินมาจนขาบวม อารมณ์ประมาณตอนนี้สามารถไปเดินแข่งมาราธอน หรือ เดินทน ได้สบาย ๆ เลย ชีวิตหนอชีวิต เดินหางานที่นี่เค้าก็อยากได้แต่คนมีประสบการณ์มาก่อนเป็นของธรรมดา ส่วนใหญ่ก็ให้ฝากชื่อกับเบอร์โทรกลับไว้ และก่อนที่จะลากสังขารไปไหนไม่ไหวก็รีบกลับมาที่โรงเรียน มานอนรอเพื่อนที่นี่ก่อนดีกว่าเอาแรง(อย่าลืมว่าตื่นมาเตรียมตัวไปเรียนตั้งแต่ตี 4 ทุกวัน) หลับไปซัก 4โมงเย็น ลูเซียมาก่อน ซาโอริมาช้า เพราะหลงทางในซับเวย์ อากาศก็เย็นมาก ลูเซียแนะนำให้ไปเดินดูเสื้อกันหนาวใหม่ดีกว่า เพราะ เสื้อเราบาง ก็ไปเดิน ๆ ดูรอซาโอริ
ในที่สุดก็ครบองค์ประชุมตอนห้าโมงกว่า ๆ เราก็เดินไปลงซับเวย์แล้วก็เดิน ๆ (อารมณ์เหมือนเดินรอบงานทุ่งฯประมาณ 4 รอบ) และแล้วเราก็มาถึง พิพิธภัณฑ์ แล้วก็เดินไปรับตั๋วเข้าชมฟรี ทั้งหมดมี 6 ชั้น ลูเซียบอกให้เดินตั้งแต่ชั้น 6 ลงมาเรื่อย ๆ เพราะชั้นล่างคนจะเยอะกว่า เราก็เลยดิ่งไปชั้น 6 ทันที พอลิฟท์เปิดปั๊บ....เย้ย!!!! นี่มันแสดงภาพวาด ศิลปะ หรอกหรือนี่ เหมือนในหนังเช่นเคย ก็จะมีผู้คนมายืนดูงานศิลปะของศิลปินดัง ๆ เต็มไปหมด ทำท่าดื่มด่ำกับงานศิลป์ เอ่อ....ยก เว้น ชั้นเอง อาจจะเป็นเพราะมีอารมณ์อันหยาบ กระด้าง เลยไม่เข้าใจงานศิลปะ เลยไม่ซึ้งว่างั้นเถอะ ในนั้นก็จะมีจัดแสดง ภาพวาดเยอะแยะ ทั้งของปิกาสโซ่ แวนโก๊ะ พรีดา บลา บลา ดูรายละเอียดได้ที่นี่ http://www.moma.org/about/index
เพื่อนทั้งสองก็ตื่นเต้นกันไป แต่ ไอ้เราก็เดินไปเมื่อยไป ในแต่ละชั้นจะมีเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์กระจายตัวอยู่ตามจุดต่าง ๆ คอยสอดส่องดูแลความเรียบร้อย และ ให้คำแนะนำต่าง ๆ ระหว่างเซ็งก็ชักจะอยากถ่ายรูป แต่โทรศัพท์ก็แบตหมดไปแล้วทำไงดี ซาโอริก็อาสาเลยเชียวจะถ่ายรูปให้ว่าแล้วก็มาเริ่มกันเลย
ทริปกาก ๆ @MoMA รูปนี้ตอนแรกก็ไปด้อม ๆ มอง ๆ ว่าจะถ่ายรูปไหนได้มั่งหว๋า และแล้ว จนท. ก็เดินมาทำหน้าดุทันที ว่า"อย่า เข้า ใกล้ !!!!" เราก็รีบบอกไปว่า "ชั้นไม่ได้จับอะไรเลยนะ ไม่โดนซะหน่อย" ว่าแล้วก็ยื่น ๆ หน้าเข้าไปใหม่ เค้าก็เดินมาบ่นให้อีก "บอกว่ารู้แล้วว่าไม่ได้จับแต่ยืนแบบนั้นมันเสี่ยงโดนงานศิลปะนะเดี๋ยวจะเสียหายเอาได้" โอเคพร้อมทำหน้าเข้าใจ พอ จนท.หันหลังปุ๊บ "ซาโอริ Shoot me!!!!" แชะ... ได้มา 1 ภาพ จัดไป หุ หุ หลังจากนั้นเราก็เริ่ม สนุกสนานกับการเดินดูงานศิลป์ต่าง ๆเปลี่ยนห้องดีกว่า เดินไปดูซิห้องถัดไปมีอะไรให้เราทำบ้าง
คราวนี้ จนท.ห้องนี้เป็นคุณลุงท่าทางใจดีหน่อย พอหันหลังปุ๊บก็เอาเลยท่านี้แหละ เดินคิดท่ามาตั้งแต่ห้องเมื่อกี้แล้ว งงในใจอยู่ว่านี่เค้าก็เรียกว่าศิลปะเหรอวะ ช่างเถอะ เราคงหยาบจริง ๆ ถึงกับมองไม่ออก ถึงตอนนี้ ซาโอริชักอยากสนุกบ้าง เลยขอให้ถ่ายรูปให้ด้วย เอามุมเดียวกัน ท่าเดียวกันเลย แต่ต้องคอยระวังคุณลุง จนท. ทันใดนั้นคุณลุงก็หันมา แต่คงสังเกตแล้วว่าเราทำท่าทางลุกลี้ลุกลนกัน ลุงแกเลยเดินมาบอกว่า "นู๋ถ่ายรูปได้นะจ๊ะ" (นั่นไง แสดงว่ามองไม่ทันจริง ๆ ด้วย เดี๋ยวลุงเห็นแล้วจะกรี๊ด) เราก็รีบฉวยโอกาสเลย
ตรงมุมห้องจะมีงานศิลปอีกอันที่เป็นหลอดไฟทำเหมือนกรอบรูปไว้ที่มุมห้อง แล้วข้างในว่างเปล่า เราก็ลากคุณลุงไปทันที พูดพร้อมกับทำตาใสซื่อ "นู๋ถ่ายรูปได้จริง ๆ เหรอคะ....นู๋อยากถ่ายรูปกับไฟนี้ค่ะ" ลุงก็ทำหน้าตาใจดี บอกถ่ายได้จ๊ะ "แต่ แต่ เอ่อ นู๋จะเข้าไปยืนถ่ายข้างในกรอบนะคะ นู๋ไม่อยากถ่ายข้างนอก" ตาลุงทำหน้าเหมือน นี่กูได้ยินอะไรผิดไปรึเปล่าวะ เราก็รีบตอกย้ำทันที "นะคะ นู๋อยากยืนถ่ายรูปข้างในนั้น" ตาลุงรีบปฏิเสธทันที คงงง คงคิดในใจว่า "โธ่!!! อีบร้า!!! ทำงานมาตั้งนานเพิ่งมีคนมึนมาขอถ่ายรูปแบบนี้ เวร จริง จริง" ว่าแล้ว แกก็ส่ายหน้าแล้วคอยจับตาดูเราไว้ งั้นเราหนีไปอีกห้องดีกว่า 555+++
มาแระห้องนี้ แชะ อีกซักภาพดีกว่า คุณลุงยังคอยตามดู แต่รูปนี้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นตอนที่แอ็คท่ารอถ่าย ต่างบอกว่า "Oh!! Art!!!" 555+++ ตาลุงยังคงมองด้วยความเซ็ง ก็คงจะคิดในใจว่า .."นี่มึงจะยืนเสพงานศิลป เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเค้าทำนี่มันจะตายไม๊ห๊า!!!" 555++ อย่าใส่ใจเลยค่ะลุง ที่นี่ อเมริกานะคะ ;P
สุดท้ายนี้เดินจนขาชา เหมือนขาจะหลุดออกจากตัว เลยขอร่ำลาเพื่่อน ๆ กลับบ้านดีกว่า แต่เอ๊ะ ๆ ตอนขากลับทำไมซับเวย์มันอยู่เยื้อง ๆ กับพิพิธภัณฑ์วะ แหม๋...แล้วซาโอริพาเดินมาจนขาลาก โคตรไกลเนี่ย อธิบายมาซิ ว่าพาเดิน ไกล ๆ เพื่อ?????????
Sunday, December 11, 2011
Tuesday, December 6, 2011
Lost in NY : ก้าวแรกก็หลงทาง!!!!!
เมื่่อวานไปเรียนเป็นวันแรก โรงเรียนอยู่ติด Empire State Building ลง Subway สาย R (จอดถี่ยิบ) ท่องไว้ในใจว่าจะลง สถานี Herald Sq. พอรถมาถึง ก็ช็อคไปเลย คำว่า "โคตรแออัดยังกะปลากระป๋อง" นี่มันยังน้อยไป สำหรับการโดยสารรถไฟที่นี่ในชั่วโมงเร่งด่วน แต่อย่าได้แคร์ เพราะรีบ ๆ เดี๋ยวจะไปสาย เผื่อเวลาเดินทางไว้ครึ่งชั่วโมง ว่าแล้วก็พยายามแทรกตัวบาง ๆ เข้าไป ย้ำ แล้วนะ ว่า บาง ๆ ความสูงหน่ะใช้ได้เลย แต่หุ่นบางกว่าคนส่วนใหญ่ของที่นี่ซะเยอะเลย พอได้ที่ยืนปั๊บ มือก็ไม่ต้องหาอะไรเกาะหรอก ต่อให้รถกระชากแค่ไหนก็ไม่กระดิก เพราะคนมันอัดกันแน่นมากหายใจรดต้นคอกันไม่มีที่ให้ขยับได้เลย
รถวิ่งออกจากสถานีไปได้เกือบจะครึ่งทาง จอดไปตามสถานีต่าง ๆ อยู่ดี ๆ มันก็ประกาศอะไรไม่รู้(คือคนอื่นเค้ารู้ไง แต่กูไม่รู้ ฟังไม่ออก) อันนี้เดี๋ยวต้องทำความเข้าใจกันก่อนนะ คือ ฟังคนพูดคุยสนทนากันเป็นภาษาอังกฤษก็ยากพออยู่แล้ว แต่ทีนี้ เสียงที่มันประกาศบนรถหน่ะ อารมณ์คล้าย ๆ บน BTS บ้านเรา คือ จะใช้คีย์เสียงที่เราฟังลำบาก ที่คนปกติเค้าไม่คุยกัน เพื่อ?????? อ่ะนะ สิ้นเสียงประกาศคนก็บ่นกันพึมพำ บางคนก็เดินลงรถไปซะเกินครึ่ง แต่เนื่องจากเราฟังไม่ออกไง เราก็ยังยืนยันที่จะนั่งขบวนเดิมต่อไป แต่ในใจเริ่มกังวลแล้วว่าแล้วหยิบแผนที่เดินรถขึ้นมาดูดีกว่า แล้วรถก็เคลื่อนไปยังสถานีถัดไป..........เย้ย!!!!!พอถึงสถานีถัดมา เลยรู้ว่ามันเปลี่ยนสายนี่หว่า วิ่งมาอีกทาง มาวิ่งสาย F เฉยเลย เอาไงดีคะพี่น้อง ก็อืม ทนนั่งต่อไปเพราะดู ๆ แล้วมันจะไปบรรจบกับสายเดิมตรงสถานีที่เราจะลงพอดี
และแล้วก็มาถึงหลังจากนั่งลุ้นจนเหงื่อตก...แต่สถานีก็ใหญ่นะ ออกทางไหนหล่ะทีนี้ ก็อ่าน ๆ ป้ายไปเอาหล่ะ โรงเรียนอยู่บน 34st งั้นต้องมองหาป้าย 34st และแล้วก็ออกมันตรงนี้แหละ Madison Ave.(อ้าวแล้วจะหาป้าย 34st ไปทำไมวะ) ก็อยากขึ้นมาข้างบนแล้วนิ พอขึ้นมาปั๊บ เอ่อ.....เอ่อ...เอ่อ มันใหญ่มาก งงชีวิตเลยทีนี้ แล้วจะเริ่มจากตรงไหนดีหล่ะ???? เอาหล่ะ หาถนนสาย 34 ก่อนก็แล้วกัน มองไปมาก็เจอป้ายว่าเราโผล่มาอยู่ ถนน 32 ก็เอาหล่ะเดินหา 34 แต่นึกถึงตึกเอ็มไพร์สเตท ขึ้นมาได้ แหงนหน้าทันทีเจอยอดตึกแล้ว ชัวร์ That way รีบเดินไปเลยทันทีมุ่งหน้าไปทางยอดตึก แล้วก็โทรเข้าไปทีโรงเรียนอันเนื่องมาจากป้ายมันเล็กมากเห็นป้ายแล้วแต่ไม่รู้ทางเข้าทางไหน เจ้าหน้าที่รับสายก็บอกทางเข้า โอเค มาถึงโรงเรียนจนได้ สายไปครึ่งชั่วโมง เพราะคลาสเริ่ม 8:30 น.
@ชั้น 6 จะเป็นชั้นนักเรียนต่างชาติ และชาติที่เยอะที่สุดคือเกาหลี ชนะเลิศ มาเรียนที่นี่กันเยอะจริง ๆ เราก็ถูกจับมานั่งลงทะเบียนทำแบบทดสอบ และ ก็สอบสัมภาษณ์ ในที่สุดเค้าก็จัดชั้นให้ไปเรียน Last hight intermediate 4 3สัปดาห์ แล้วค่อยย้ายไปเรียน Advanced ช็อคอีกรอบ คิดในใจว่าอยากเรียน Beginner เพราะจะได้เหมือนเริ่มใหม่ กลัวเรียนไม่ทันเพื่อน ไม่รู้เรื่อง ว่าแล้วเค้าก็ให้ไปซื้อหนังสือชั้นล่าง อ่ะหะ??? 20$ ยังไม่ทันหายงง เจ้าหน้าที่คงพิจารณาดูแล้วว่าอาจจะจน เลยเสนอหนังสือเล่มเก่าที่มีคนเค้าฝากขาย คิดแค่ 10$ ถึงจะงง แต่ เราก็งก ขอดูสภาพหนังสือทันที ก็โอเคไม่เก่า ใช้ได้ งั้นเอาอันนี้แหละ จากนั้นก็ได้หนังสือไปเข้าเรียนซะที
ครูทักคำแรกเลยชื่ออ่านว่ายังไงนะคะ "สุ-รีย์-ลักษณ์ ค่ะ" แล้วถามต่อว่า "อ๋อ เออ นี่เป็นชื่่อที่ใช้กันทั่วไปใช่ไม๊เห็นคนใช้ชื่อนี้กันเยอะ" นั่นไง ครูนี่มั่วจริง ก็เลยอธิบายว่า "ไม่ค่ะ ชื่อนู๋มาจากการเอาชื่อพ่อแม่มารวมผสมกันค่ะ" จากนั้นครูก็ให้แนะนำตัวให้เพื่อนรู้จัก และ เพื่อนก็แนะนำตัวให้เรารู้จักด้วยเช่นกัน
เพื่อนส่วนใหญ่พูดภาษาสเปนิช มาจากสเปน,เวเนซูเอล่า,เกาหลี,ญี่ปุ่น และ มีคนไทยด้วยคนนึง ชื่อคิม แต่ละคนก็หลากหลายอาชีพ อ้อก่อนเลย อ้อเป็นเซลค่ะ คนอื่นก็มีทั้ง ว่าง ไม่ทำงาน เป็นวิศวกร เป็นนักแสดง เป็นแดนเซอร์ เป็นอาจารย์ เป็นกราฟฟิกดีไซน์เนอร์ และ ช่างภาพ ก็บรรยากาศการเรียนสนุกสนาน ไม่เครียด ทุกวันศุกร์จะเป็นกิจกรรมนอกห้องเรียน ก็อาจจะไปดูหนัง ไปพิพิธภัณฑ์ ไปสถานที่ต่าง ๆ ใน NYC เอ้อ..ลืมบอกว่าที่เกาหลีเยอะเพราะด้านหลังตึกเป็นย่าน Korean Town มีร้านอาหารเกาหลีเยอะแยะเลย คิมพาเดินไปกินร้านนึงจำชื่อไม่ได้แต่อร่อยมาก เซ็ตนึงได้กินซะอิ่มเลยพูดแล้วก็อยากไปกินอีก หลังกินเสร็จ คิมแยกตัวไปช้อปปิ้ง อ้อเลยกลับบ้านดีกว่าช่วงนี้บ่าย 3 กว่า ๆ หมอกก็ลงจัดแล้วก็เริ่มมืด ๆ แระ ร่ำ ๆ จะเป็นหวัดอยู่เหมือนกัน อาการเจทแลคยังคงอยู่คือนอนตืนซัก 5ทุ่ม-เที่ยงคืน และก็ไม่หลับอีกเลย T_T เมื่อคืน ตื่นมาตอนสี่ทุ่มกว่าได้มั้งแล้วก็หลับอีกทีตอน ตี4 แล้วก็ตื่นไปเรียนตอน 7:35น. สายได้อีก ว่าแล้วก็ของีบเอาแรงก่อนดีกว่า เดี๋ยวตาเป็นหมีแพนด้ากันพอดี..ฝันดีนะคะ
Monday, December 5, 2011
Good Morning New York : อรุณสวัสดิ์ ความเนียน( 2 )
เมื่อเช้าไปเรียนหลงทาง งั้นขอเก็บเรื่องความเนียนเลยดีกว่า ขอเล่าคร่าว ๆ ก็แล้วกันว่าเนียนยังไง หลังจากซื้อตั๋วขึ้นเรือเฟอร์รี่ไปยังเกาะเทพีเสรีภาพ แอน เจ บอกให้ขึ้นไปยืนชั้นบนสุดนะจะได้วิวสวย ๆ แล้ว พอเรือออกปุ๊บ คุณเพื่อนคะ วิวสวยก็จริง แต่ลมแรงแล้วมันก็หนาว ๆ ๆ มาก ปากถึงกับแห้งแบบฉับพลัน ตัวแข็ง หูแข็งกันเลยทีเดียว(จะทรมานตัวเองไปไหน??) พอลงเรือได้ก็เดิน ๆ เที่ยว ๆ ดู ๆ มีร้านขายของที่ระลึก มีป้ายบอกว่าทำไมแม่นางเทพีของเราจึงกลายร่างเป็นสีเขียว ๆ บลา บลา บลา ไม่อ่านหรอก เพราะในหัวกำลังคิดอยู่ว่าจะหาที่อยู่ได้รึเปล่านะ ก็ถ่าย ๆ รูปมาได้ประมาณนี้
จากนั้นก็นั่งเรือกลับคราวนี้อยู่ชั้น 2 ลมไม่โกรก เสร็จบั๊ปก็จะเดินไปขึ้น Subway ย้อนเข้าไปแถว ๆ ย่านร้านน้ำตาล แถวนี้ก็จะมีประกาศห้องเช่า งาน ฯลฯ ก็นั่งไปกัน ตามแผนที่ ๆ พีรัตน์ให้มา ไม่หลง พอถึงร้านปุ๊บก็ถามเค้าว่าซื้อซิมโทรศัพท์ที่ไหนกัน พี่เค้าก็ชี้ไปฝั่งตรงข้าม เราก็วิ่งไปตามคำบอก ซื้อเสร็จ เดินมาโทรเลย บ้านเช่า บังเอิญเราโทรไป บังเอิญเค้าว่าง บังเอิญอีกว่าอยู่ใกล้กัน เค้าเลยมารับเราไปดูห้อง ในที่สุดก็ตกลงเอาที่นี่แหละ แต่มีข้อแม้ว่าต้องไปช่วยเราแบกกระเป๋ามานะ เค้าก็โอเค งั้นไปกันเลย เจ้าของห้องคนเก่านี้เค้าชื่อ คุณเดโช น่าสงสารมากตอนแบกกระเป๋า ร่วม 32 กิโลกรัม ได้มั้งนั่นหน่ะ ถึงกับเดี้ยงไปเลย พอได้ห้องแล้วก็นั่งซับเวย์กลับไปนอนบ้านพี่รัตน์เหมือนเดิมก่อนเพราะห้องใหม่ยังไมได้ทำความสะอาด ให้ตายเถอะ ซับเวย์ตอน 4ทุ่มนิด ๆ มันเปลี่ยวมาก สรุปมีกูคนเดียวนี่หว่า บรรยากาศเริ่มเหมือนในหนังอ่ะ น่ากลัว รีบวิ่งกลับดีกว่าเรา ถึงบ้านแบบหอบกินหลับกลิ้งไม่รู้เรื่องไปเลย ตื่นเช้ามาก็ร่ำลาพี่รัตน์แล้วหอบของที่เหลือมาเก็บกวาดห้อง แล้วก็สลบไปฟื้นมาอีกทีก็คิดอยู่ว่าคืนนี้นอนไม่ได้แน่ เพราะ ไม่มีผ้าห่มกะหมอน แล้วที่หนักกว่านั้นฮีทเตอร์ที่นี่รู้สึกว่ามันจะไม่ร้อนนะ ที่หลับไปตอนบ่ายแล้วตื่นมามึน ๆ เพราะอากาศมันเย็นมาก เอาไงดี ๆ ปิ๊ง!!!! ไวกว่าอะไรทั้งหมด หวยไปออกที่ คุณเดโช เลยขอให้เค้าพาไปซื้อของใช้จำเป็นแหละ เค้าก็ใจดีนะพาไป ก็เอาเป็นว่าก็รอดตัวไปได้อีกวัน
สรุป>>ที่จะอัพเดท คือ อยากให้ทุก ๆ คน รู้ว่าได้ที่ซุกหัวนอนแล้วค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง เลยอดไปยืนผิงไฟริมถนนเลย 555++ หน้าตาห้องนอนเป็นอย่างข้างล่างนี่แหละคะ ที่เห็นมันสะอาดเรียบร้อยเพราะนั่งเก็บกวาดอยู่จนสลบอ่ะ เลยได้ห้องนอนสะอาด ๆ ไว้ซุกหัวนอนซะที ก็คิดว่าน่าจะพออยู่ได้นะ....ว่าไม๊???
จากนั้นก็นั่งเรือกลับคราวนี้อยู่ชั้น 2 ลมไม่โกรก เสร็จบั๊ปก็จะเดินไปขึ้น Subway ย้อนเข้าไปแถว ๆ ย่านร้านน้ำตาล แถวนี้ก็จะมีประกาศห้องเช่า งาน ฯลฯ ก็นั่งไปกัน ตามแผนที่ ๆ พีรัตน์ให้มา ไม่หลง พอถึงร้านปุ๊บก็ถามเค้าว่าซื้อซิมโทรศัพท์ที่ไหนกัน พี่เค้าก็ชี้ไปฝั่งตรงข้าม เราก็วิ่งไปตามคำบอก ซื้อเสร็จ เดินมาโทรเลย บ้านเช่า บังเอิญเราโทรไป บังเอิญเค้าว่าง บังเอิญอีกว่าอยู่ใกล้กัน เค้าเลยมารับเราไปดูห้อง ในที่สุดก็ตกลงเอาที่นี่แหละ แต่มีข้อแม้ว่าต้องไปช่วยเราแบกกระเป๋ามานะ เค้าก็โอเค งั้นไปกันเลย เจ้าของห้องคนเก่านี้เค้าชื่อ คุณเดโช น่าสงสารมากตอนแบกกระเป๋า ร่วม 32 กิโลกรัม ได้มั้งนั่นหน่ะ ถึงกับเดี้ยงไปเลย พอได้ห้องแล้วก็นั่งซับเวย์กลับไปนอนบ้านพี่รัตน์เหมือนเดิมก่อนเพราะห้องใหม่ยังไมได้ทำความสะอาด ให้ตายเถอะ ซับเวย์ตอน 4ทุ่มนิด ๆ มันเปลี่ยวมาก สรุปมีกูคนเดียวนี่หว่า บรรยากาศเริ่มเหมือนในหนังอ่ะ น่ากลัว รีบวิ่งกลับดีกว่าเรา ถึงบ้านแบบหอบกินหลับกลิ้งไม่รู้เรื่องไปเลย ตื่นเช้ามาก็ร่ำลาพี่รัตน์แล้วหอบของที่เหลือมาเก็บกวาดห้อง แล้วก็สลบไปฟื้นมาอีกทีก็คิดอยู่ว่าคืนนี้นอนไม่ได้แน่ เพราะ ไม่มีผ้าห่มกะหมอน แล้วที่หนักกว่านั้นฮีทเตอร์ที่นี่รู้สึกว่ามันจะไม่ร้อนนะ ที่หลับไปตอนบ่ายแล้วตื่นมามึน ๆ เพราะอากาศมันเย็นมาก เอาไงดี ๆ ปิ๊ง!!!! ไวกว่าอะไรทั้งหมด หวยไปออกที่ คุณเดโช เลยขอให้เค้าพาไปซื้อของใช้จำเป็นแหละ เค้าก็ใจดีนะพาไป ก็เอาเป็นว่าก็รอดตัวไปได้อีกวัน
สรุป>>ที่จะอัพเดท คือ อยากให้ทุก ๆ คน รู้ว่าได้ที่ซุกหัวนอนแล้วค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง เลยอดไปยืนผิงไฟริมถนนเลย 555++ หน้าตาห้องนอนเป็นอย่างข้างล่างนี่แหละคะ ที่เห็นมันสะอาดเรียบร้อยเพราะนั่งเก็บกวาดอยู่จนสลบอ่ะ เลยได้ห้องนอนสะอาด ๆ ไว้ซุกหัวนอนซะที ก็คิดว่าน่าจะพออยู่ได้นะ....ว่าไม๊???
Sunday, December 4, 2011
Good Morning New York : อรุณสวัสดิ์ ความเนียน( 1 )
หลังจากได้ที่นอนอุ่น ๆ แล้ว ภาระกิจต่อมา คือ การหาห้องเช่า กำลังกลุ้ม ๆ มึน ๆ ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น "ก๊อก ก็อก.....พี่คัฟ...คือพวกเราว่าจะไปเทพีเสรีภาพอ่ะคัฟ พี่อยากจะไปด้วยกันรึเปล่า เปล่า เปล่า" โอ้สวรรค์!!!! ในใจคิดทันที ได้เพื่อนแล้วเว้ย!!!! รีบตอบแบบไม่คิดเลย "ไปซิจ๊ะ ไป ไป"
น้องคนที่มาชวนเพิ่งจะมาถึงที่นี่ก่อนอ้อไม่กี่ชั่วโมงเอง เค้าพักอยู่ห้องข้าง ๆ ชื่อ แอน กับ เจ มากัน 2 คน จาก BKK ทั้งคู่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่ AU มาหลายปี กะเปลี่ยนบรรยากาศมาอเมริกา เพราะ เจ ชอบ hiphop มากเลยต้องขอแวะเที่ยว NY ซะก่อนจะเดินทางต่อไป OH นอกจากนี้ทั้งคู่ยังใจดีทำอาหารเช้าให้อ้อกินด้วย มีข้าวสวยร้อน ๆ+ไส้กรอก+ไข่ดาว+ซอสภูเขาทอง+น้ำผลไม้ และ สตอร์เบอรี่ ที่จริงก็เกรงใจมาก แต่ก็กิน อิ่ม เกลี้ยง รอดไปอีกมื้อนึง (ฟรีหน่ะ)
หลังจากนั้นพี่รัตน์ก็มาให้คำแนะนำในการขึ้น NYC Subway (พร้อมกางแผนที่ประกอบ) เราก็วางแผนกันว่า จะไปเทพีเสรีภาพก่อน แล้วจะแวะเข้ามาไชน่าทาวน์ แล้ว เจ อยากไปซื้อ Iphone4s เลยไป ไทม์สแควร์ แล้วอ้อก็จะไป "ร้านน้ำตาล" เพื่อดูบอร์ดประกาศหาห้องเช่ากับซื้อซิมโทรศัพท์ ว่าแล้วพี่รัตน์ก็เขียนแผนที่ร้านน้ำตาลให้ด้วย พร้อมกับเดินไปส่งที่ Subway + สาธิตวิธีการซื้อบัตรโดยสาร แล้วเราก็ขอ Map Subway มาติดตัวไว้คนละอัน...กะว่างานนี้ไม่มีหลง เพราะซ้อมขึ้น BTS , MRT ที่กรุงเทพฯ มาแล้ว อารมณ์น่าจะประมาณว่าคล้าย ๆ กัน
และแล้วก็ขึ้นมานั่งบนรถ บรรยากาศแบบว่าทุกคนไม่มีใคร สนใจใครเลย นั่งใครนั่งมันจริง ๆ คนผิวสีที่่นี่เยอะจริง ๆ ตัวสูง ๆ ใหญ่ ๆ สูงจะ 2 เมตร แล้วมั้งนั่น โชคดีที่ชั้นสูง 555++ ประมาณไซส์กลาง ๆ ของที่นี่ เลยดูกลมกลืนมิใช่น้อย ก็นั่ง ๆ กาง ๆ ดูMap ดูป้ายไป ดูวิวข้างทางมั่ง ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทาง (เพราะเราจะข้ามขั้นตอนที่เดินหลงทาง งก ๆ เงิ่น ๆ ไปบ้าง เดี๋ยวเพื่อนมันจะสมน้ำหน้าเอา) โผล่มาปั๊บ เป็น Wall Street อุ๊ย...แม่...เจ้า !!!! กรี๊ด.... นี่มันในหนังชัด ๆ หนาวจนหยิบหมวกมาใส่ แล้ว วิ่งไปแผงขายของ ซื้อถุงมือทันที อะไรจะเย็นยะเยือกขนาดนี้ หลังจากอึ้ง ๆ อยู่ประมาณนึง ก็เดินเข้าไปถามตำรวจว่า บลา บลา บลา ตอนถามอ่ะถามได้แต่ตอนฟังต้องดึงแอนมาฟัง เพราะ อ้อมีความสามารถพิเศษอยู่อย่างคือ ฟังอะไรไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องช้า ๆ ชัด ๆ เบ็ดเสร็จสรุปใจความได้ว่าให้เดิน ๆ ตรง ๆ ไปตรงนู่น เด่วก็เจอแหละ เอาวะไปก็ไป แท๊น...แท๊น เดิน หลงไป หลงมาก็มาถึง Battery Park ความสำคัญ ประวัติ เป็นไงมาไงไม่รู้ เพราะเดินมั่วมาเจอ รู้แต่ว่านก กับ กระรอกที่นี่มีเยอะแล้วก็รับแขกมาก(ถ้าเป็นแถวบ้านเราคงไม่เชื่องขนาดนี้กลัวโดนจับไปกิน..ว่าแล้วก็นึกถึงเพื่อนอี๊ด:ผู้ที่สามารถกินทุกสรรพสัตว์บนโลกใบนี้ 55++)ใครสนใจก็ไปหาข้อมูลในวิกิพีเดียอีกทีนะจ๊ะเกี่ยวกับ Battery Park
ณ จุด ๆ นี้ ท้องเริ่มร้องแระ หาน้ำกินดีกว่า ระหว่างทางก็จะมีเป็นรถเข็นขายของกินเป็นระยะ ๆ ก็แต่มันดูแล้วไม่น่ากินหน่ะ เดินไปซื้อตั๋วขึ้นเรือกันดีกว่า แว๊บ ๆ ได้ตั๋วแระไปขึ้นเรือดีกว่า ขอบอกว่าคนเยอะม๊าก นักท่องเที่ยวทั้งนั้น นี่ขนาดเช้าวันธรรมดานะ ถ้าเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์จะขนาดไหนเนี่ย หึ หึ
สรุป > > ด้วยความสามารถทางภาษาอังกฤษระดับง่อยของเรา เลยเอาตัวรอดด้วยการเนียนกับเค้ามาตลอดทาง วันนี้ช่างยาวนานจริง ๆ เล่าไงจะหมดหล่ะเนี่ย เริ่มจะง่วงแล้ว หลังจากเจทแลค นอนผิดที่ ผิดเวลา ก็ถ้าไม่ง่วงจะอัพไปเรื่อย ๆ นะ วันนี้วันว่่าง เตรียมตัวก่อนไปเรียนพรุ่งนี้
น้องคนที่มาชวนเพิ่งจะมาถึงที่นี่ก่อนอ้อไม่กี่ชั่วโมงเอง เค้าพักอยู่ห้องข้าง ๆ ชื่อ แอน กับ เจ มากัน 2 คน จาก BKK ทั้งคู่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่ AU มาหลายปี กะเปลี่ยนบรรยากาศมาอเมริกา เพราะ เจ ชอบ hiphop มากเลยต้องขอแวะเที่ยว NY ซะก่อนจะเดินทางต่อไป OH นอกจากนี้ทั้งคู่ยังใจดีทำอาหารเช้าให้อ้อกินด้วย มีข้าวสวยร้อน ๆ+ไส้กรอก+ไข่ดาว+ซอสภูเขาทอง+น้ำผลไม้ และ สตอร์เบอรี่ ที่จริงก็เกรงใจมาก แต่ก็กิน อิ่ม เกลี้ยง รอดไปอีกมื้อนึง (ฟรีหน่ะ)
หลังจากนั้นพี่รัตน์ก็มาให้คำแนะนำในการขึ้น NYC Subway (พร้อมกางแผนที่ประกอบ) เราก็วางแผนกันว่า จะไปเทพีเสรีภาพก่อน แล้วจะแวะเข้ามาไชน่าทาวน์ แล้ว เจ อยากไปซื้อ Iphone4s เลยไป ไทม์สแควร์ แล้วอ้อก็จะไป "ร้านน้ำตาล" เพื่อดูบอร์ดประกาศหาห้องเช่ากับซื้อซิมโทรศัพท์ ว่าแล้วพี่รัตน์ก็เขียนแผนที่ร้านน้ำตาลให้ด้วย พร้อมกับเดินไปส่งที่ Subway + สาธิตวิธีการซื้อบัตรโดยสาร แล้วเราก็ขอ Map Subway มาติดตัวไว้คนละอัน...กะว่างานนี้ไม่มีหลง เพราะซ้อมขึ้น BTS , MRT ที่กรุงเทพฯ มาแล้ว อารมณ์น่าจะประมาณว่าคล้าย ๆ กัน
และแล้วก็ขึ้นมานั่งบนรถ บรรยากาศแบบว่าทุกคนไม่มีใคร สนใจใครเลย นั่งใครนั่งมันจริง ๆ คนผิวสีที่่นี่เยอะจริง ๆ ตัวสูง ๆ ใหญ่ ๆ สูงจะ 2 เมตร แล้วมั้งนั่น โชคดีที่ชั้นสูง 555++ ประมาณไซส์กลาง ๆ ของที่นี่ เลยดูกลมกลืนมิใช่น้อย ก็นั่ง ๆ กาง ๆ ดูMap ดูป้ายไป ดูวิวข้างทางมั่ง ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทาง (เพราะเราจะข้ามขั้นตอนที่เดินหลงทาง งก ๆ เงิ่น ๆ ไปบ้าง เดี๋ยวเพื่อนมันจะสมน้ำหน้าเอา) โผล่มาปั๊บ เป็น Wall Street อุ๊ย...แม่...เจ้า !!!! กรี๊ด.... นี่มันในหนังชัด ๆ หนาวจนหยิบหมวกมาใส่ แล้ว วิ่งไปแผงขายของ ซื้อถุงมือทันที อะไรจะเย็นยะเยือกขนาดนี้ หลังจากอึ้ง ๆ อยู่ประมาณนึง ก็เดินเข้าไปถามตำรวจว่า บลา บลา บลา ตอนถามอ่ะถามได้แต่ตอนฟังต้องดึงแอนมาฟัง เพราะ อ้อมีความสามารถพิเศษอยู่อย่างคือ ฟังอะไรไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องช้า ๆ ชัด ๆ เบ็ดเสร็จสรุปใจความได้ว่าให้เดิน ๆ ตรง ๆ ไปตรงนู่น เด่วก็เจอแหละ เอาวะไปก็ไป แท๊น...แท๊น เดิน หลงไป หลงมาก็มาถึง Battery Park ความสำคัญ ประวัติ เป็นไงมาไงไม่รู้ เพราะเดินมั่วมาเจอ รู้แต่ว่านก กับ กระรอกที่นี่มีเยอะแล้วก็รับแขกมาก(ถ้าเป็นแถวบ้านเราคงไม่เชื่องขนาดนี้กลัวโดนจับไปกิน..ว่าแล้วก็นึกถึงเพื่อนอี๊ด:ผู้ที่สามารถกินทุกสรรพสัตว์บนโลกใบนี้ 55++)ใครสนใจก็ไปหาข้อมูลในวิกิพีเดียอีกทีนะจ๊ะเกี่ยวกับ Battery Park
ณ จุด ๆ นี้ ท้องเริ่มร้องแระ หาน้ำกินดีกว่า ระหว่างทางก็จะมีเป็นรถเข็นขายของกินเป็นระยะ ๆ ก็แต่มันดูแล้วไม่น่ากินหน่ะ เดินไปซื้อตั๋วขึ้นเรือกันดีกว่า แว๊บ ๆ ได้ตั๋วแระไปขึ้นเรือดีกว่า ขอบอกว่าคนเยอะม๊าก นักท่องเที่ยวทั้งนั้น นี่ขนาดเช้าวันธรรมดานะ ถ้าเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์จะขนาดไหนเนี่ย หึ หึ
สรุป > > ด้วยความสามารถทางภาษาอังกฤษระดับง่อยของเรา เลยเอาตัวรอดด้วยการเนียนกับเค้ามาตลอดทาง วันนี้ช่างยาวนานจริง ๆ เล่าไงจะหมดหล่ะเนี่ย เริ่มจะง่วงแล้ว หลังจากเจทแลค นอนผิดที่ ผิดเวลา ก็ถ้าไม่ง่วงจะอัพไปเรื่อย ๆ นะ วันนี้วันว่่าง เตรียมตัวก่อนไปเรียนพรุ่งนี้
Alone in NY:ก้าวแรกเดี่ยว ๆ ในนิวยอร์ค
แว่บแรกที่เห็นข้อมูลการบินบนจอมอนิเตอร์บนเครื่องบิน แจ้งว่า อีก 8 นาทีจะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว อุณภูมิ : 0 ํ (เฮ่ย!! ตกใจ หนาวนะนั่น) สมองก็เริ่ม ๆ สับสน จะอะไร ยังไง ที่ไหน ก่อน หลังดี อันที่จริงก็หลับไม่ลงตั้งแต่เห็นมันแจ้งว่าอีก 2 ชม. ครึ่ง ถึงนิวยอร์คแล้วแหละ แต่ก็เก็บอาการไว้ทำเป็นนั่งฟังเพลงชิลมาก แต่ในหัวคิดเตลิดไปไกล
ข้อที 1 : กระเป๋าจะโดนค้นไม๊ เพราะแอบพก "ปลาร้าบองแมงดา" กระปุกใหญ่มาจากบ้าน โดนยึดไม่เท่าไหร่ แค่อดกิน แต่ถ้าต้องโดนถามโน่น นี่ นั่น แล้ว?? แล้วกูจะตอบยังไงวะ ปลาร้าบองแมงดาเนี่ย ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไรก็ยังไม่รู้เลย(ใครรู้ช่วยบอกหน่อย)
ข้อที่่่่ 2 : ตม.จะถามอะไรเยอะแยะไม๊ เพราะหน้าตาในพาสพอร์ตดันไม่เหมือนตัวจริง ยิ่งในหน้าวีซ่านี่คนละโลกเลย เค้าจะเข้าใจไม๊ว่าเดินทางมาไกลหลับๆตื่นๆไม่แต่งหน้าแล้วมันจะออกแนวโทรม ๆผิดปกติ (เพราะปกติสวยไง (นี่คิดเอาเอง) )
ข้อที่ 3 : มาถึงตอนสามทุ่มแล้ว เอ่อ ? ? ไม่มีใครมารับ อนิจจาต้องโบกแท๊กซี่่่ไปเอง
โอ้ย!!! คิดเยอะไปก็เท่านั้น ลุยดีกว่า อะไรจะเกิดก็ช่างมันเถอะนะ (สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม) ว่าแล้วก็สะพายเป้เดินลงไป ด่านแรก ตม. เราก็ทำเป็นเดินช้าไปก่อน ดูซิว่าไอ้ที่เดินไปถึงก่อนเค้าให้ทำอะไร ถามอะไรบ้าง แต่อย่าช้ามากเพราะคนเยอะไม่งั้นยืนจนน่องโป่งชัวร์ พอถึงคิวเราก็ยื่นพาสปอร์ตไป จนท.เป็นผู้หญิง แกะ ๆ แงะ ๆ ดู I-20 เราไปก็ถามว่าโดยสารเครื่องมาจากไหน และ ตามสไตล์เราต้องเบลอๆ ฟังผิดเลยตอบไปว่า นู๋คนไทยค่ะ 555++ วรรคนิดนึงแล้วบอกว่ามาจากไทเป ซักพัก จนท.ก็ประทับตราโน่น นี่ นั่น แล้วก็ให้ไปได้ ด่านแรกลอยลำ
ด่านต่อมา ก็ลุ้นอยู่ว่าจะเรียกตรวจปลาร้าบองเราไม๊นะ ช่างเถอะเดินเนียน ๆ ไปเดี๋ยวก็ผ่าน แล้วก็รอดมายืนรอเอากระเป๋า รอประมาณชาตินึงผ่านไป(อารมณ์มันนานมาก ๆ อ่ะนะ) ระหว่างรอก็สังเกตุดูป้ายโน่น นั่น นี่ พอได้กระเป๋าปุ๊บ ก็ "เอาวะ !! สนามบินส่วนใหญ่ก็คล้าย ๆ กันแหละ" ว่าแล้วก็เดินหาป้ายแท๊กซี่หละค่ะพี่น้อง
นอกจาก จะเดินทางมาคนเดียวแล้ว ที่พักในนิวยอร์ค ก็เพิ่งจะหาได้แค่ 3 วันก่อนเดินทางเท่านั้นเอง โดยการเสริจน์หาจากในเนตนี่แหละ แล้วก็มาเจอกับ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=woodhaven ตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ พี่รัตน์ เจ้าของบ้านใจดีมาก ๆ พี่เค้าบอกว่าก็ไม่รู้จะใจร้ายไปทำไม(ถ้าใครจะมาแนะนำที่นี่เลยนะคะ อบอุ่นเหมือนอยู่บ้านตัวเองเลย) โทรไปครั้งแรก พี่เค้าก็ถามรายละเอียด แล้ว ก็บอกวิธีการเดินทางไปที่บ้านค่ะ ง่ายมากเลยคือ ให้เรียกเยลโลแคป(แท๊กซี่สีเหลือง)แล้วก็เอาที่อยู่ให้ไป แต่ต้องระวังแท๊กซี่ป้ายดำจะแพง และ ถ้าเราถาม จนท.ที่สนามบินบางทีเค้าจะพาเราไปแท๊กซี่อารมณ์ลีมูซีน จะดูดีมีสกุลเชียว แต่ แพง(อันนี้พีรัตน์บอกมาอีกที) และเพื่อความไม่ประมาทเราก็เอาที่อยู่พิมพ์เข้าไปในกูเกิ้ลแมบทันทีเพื่อขอเส้นทาง เริ่มจากสนามบิน JFK สิ้นสุดที่บ้านพี่รัตน์ผู้ใจดี แล้วเซฟใส่มือถือไว้(อันที่จริงให้คุณพีเพื่อนรักช่วยหาแล้วเซฟส่งเมลมาให้)
หลังจากนั้น เดินลากกระเป๋า ขอย้ำนะว่าลาก เพราะรถเข็น ๆ กระเป๋าหน่ะรู้สึกจะต้องเสียตังค์มั้ง ชิส์ไม่ได้กินเงินชั้นหรอก ลากมาจ้องป้ายแท๊กซี่ไว้ อันนี้จะคล้าย ๆ กับที่สุวรรณภูมิ พอพ้นประตูปั๊บแท๊กซี่ป้ายดำก็มายืนเรียกอย่าได้เผลอไปกะเค้าเชียว ทำเป็นมองหาญาติเข้าไว้ มองซ้ายแล้วเราก็เจอ คิวแท๊กซี่ ไชโย!! เดินไปเลยมี จนท.จดคิวถามว่าเราจะไปไหนก็ยื่นที่อยู่ให้ดู เค้าก็ให้เราขึ้นรถไปเลย พอรถออกปั๊บเราก็ควักเลย "คุณคนขับรถคะนี่ที่อยู่ที่จะไป" จากนั้นเปิด Map ที่โหลดมาแล้วอ่านป้ายถนนตามดูไปให้ถูกทาง แต่ บางที่กูเกิ้ลก็หลอกเรา ขั้นตอนสุดท้ายต้องเลี้ยวเข้า 80st. แล้วทำไมพากูเลี้ยวมา 81st. วะ พอจอดปั๊บเริ่มเถียงกันทันที เอาไงดี เอาไงดี เถียงไปก็ไม่รู้เรื่อง ทันใดนั้นพี่รัตน์ก็เดินออกมาจากบ้าน แบบว่ารอส่องทางอยู่แล้ว เป็นอันว่าไม่มีใครผิดเพราะเข้าได้ทั้ง 2 ซอยถึงเหมือนกันแต่แท๊กซี่ถึงเร็วกว่าจอดเป๊ะหน้าบ้านเลย พี่รัตน์บอกว่า "ดีจังแท๊กซี่ไม่พาหลงพาอ้อม น้องบางคนจ่ายตั้งแพงเพราะโดนอ้อมไปไกล" แต่ แม่นู๋เอลลี่เพื่อนรักลงความเห็นว่า "อ๋อ เค้าคงเห็นหน้าตามึงจนกลัวไม่มีเงินจ่ายมั้งเลยไม่ได้พาอ้อม" (เพื่อนเวร) เป็นอันว่าคืนนี้มีที่นอนแล้วเย้ ๆ
สรุป ตั้งแต่่ลงเครื่องจนถึงบ้าน ลุ้นจนลืมหนาวไปเลย เช็คดูอีกที 2 ํอ่ะนะ หนาวกาย ไม่เท่าหนาวใจ ^^
Subscribe to:
Posts (Atom)