Wednesday, October 28, 2015

Maasai Mara ภาคต่อ : จบไม่ได้ถ้ายังไม่ได้เจอชาวมาไซ

หลังจากตระเวนดูสัตว์ป่ากันอย่างเพลิดเพลิน ในวันที่ 2 ของ game drive เราขอให้คุณไกด์พาเข้าชมหมู่บ้านมาไซด้วย หมู่บ้านนึง ๆ จะอยู่ไม่ห่างกันมาก ชาวมาไซจะเก็บกิ่งไม้ และ กิ่งต้น Acacia อะคาเซีย(ต้นไม้มีกิ่งเป็นหนาม ๆ) มาวางทำเป็นรั้วล้อมรอบหมู่บ้าน สอบถามชาวบ้าน เค้าบอกว่าเอาไว้ป้องกันสัตว์ร้าย เช่น เสือดาว ไฮยีน่า ไม่ให้เข้ามากินวัว กินแพะของชาวบ้าน เพราะป่าสงวนมันไม่มีรั้ว พอตกกลางคืนสัตว์พวกนี้ก็ออกมาเพ่นพ่านแถว ๆ หมู่บ้าน และ แคมป์ที่เราอยู่ แม้กระทั่งน้องหมาในแคมป์ พอตกกลางคืนก็ต้องเก็บให้มันเข้านอนข้างในบาร์ ไม่ปล่อยมันไว้ข้างนอกไม่งั้นจะโดนคาบไปกิน




เราจ่ายค่าเข้าชมหมู่บ้านมาไซไปคนละ 1,000 ชิลลิ่ง ชาวมาไซ(เฉพาะผู้ชาย) จะออกมาเต้นรำเพื่อเป็นการต้อนรับ และ โชว์กระโดดสูง



จากนั้นก็จะมีชว์ จุดไฟด้วยวิธีโบราณ ตรงนี้จะมีการให้นักท่องเที่ยวชายทดลองจุดไฟด้วยวิธีเดียวกันด้วย ถ้าจุดติดปุ๊บเค้าจะเสนอขายไม้จุดไฟพร้อมอุปกรณ์ทันที



พอเดินเข้าในหมู่บ้าน ลานว่าง ๆ ตรงกลาง จะเป็นที่เก็บวัวในตอนกลางคืน ชาวมาไซผู้ชายมีหน้าที่ผลัดกันเฝ้าเวรยาม และ หาอาหารมาให้ครอบครัว

ผู้หญิงมีหน้าที่สร้างบ้าน ซักผ้า เลี้ยงลูก และ ทำอาหาร ฯลฯ หัวหน้าคณะมาไซผู้ชาย พยายามอธิบายว่า ผู้หญิงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบเยอะ ชาวมาไซถึงต้องมีเมียหลาย ๆ คน เอาไว้ช่วยกันทำงาน (ข้ออ้างมันฟังขึ้นไม๊เนี่ย) แต่คุณไกด์ก็บอกเราว่าชาวมาไซสมัยใหม่ที่มีการศึกษาแล้วก็นิยมมีเมียคนเดียวจบ ง่าย ไม่ปวดหัว


ตอนนี้เราจะพาทุก ๆ คนเข้าไปดูข้างในบ้านของมาไซนะคะ ก่อนอื่นความเข้าใจดั้งเดิมของเรา บ้านมาไซ คือ ทำมาจากดิน แต่ ในความเป็นจริงแล้ว มันทำมาจากขี้วัวแปะเข้ากับโครงไม้ ทำให้ภายในบ้านอุ่น กลิ่นก็ขี้วัวชัด ๆ แหละ แต่ถึงจะทำจากขี้วัว ชาวมาไซเค้าบอกว่าบ้านของเค้าสามารถอยู่ทนทานได้นานนับ 10 ปีเลยทีเดียว สาเหตุที่เค้าไม่เอาไม้สร้างบ้าน เราคิดว่าน่าจะเป็นเพราะปลวกเยอะมั้งคะ คือมองไปทางไหนก็มีแต่จอมปลวกขึ้นเต็มไปหมด ส่วนหลังคาบ้านไหนมีเงินหน่อยก็จะซื้อแผ่นสังกะสีมาวาง แล้วทับด้วยหินก้อนใหญ่กันปลิว



เจ้าของบ้านเปิดประตูพาชม ห้องแรกคือห้องที่ใช้เก็บลูกแพะ และ ลูกวัวเกิดใหม่ นับเป็นสมบัติมีค่าของชาวมาไซ ต้องระวัง รักษาไว้ให้ดี ตอนที่ไปได้เจอกับลูกแพะเพิ่งเกิดใหม่ได้ 2 ชม. ด้วยค่ะ น่ารักมาก ๆ


เดินตามทางถัดมาจะเข้ามาสู่โถงใหญ่ ตรงกลางจะมีเตาทำอาหาร และ มีรูระบายอากาศเล็ก ๆ
ถ้าหันหน้าเข้าเตาทำอาหาร

ด้านซ้ายมือจะเป็นห้องนอนเจ้าของบ้านและภรรยา (เป็นซอกเล็ก ๆ สูงระดับเดียวกับเตาอาหาร มีผ้าปูรอง) 
ทางด้านขวามือจะเป็นแคร่ เป็นที่นอนของเด็ก ๆ


ปลายแคร่ที่เป็นที่นอนของเด็ก ๆ จะมีอีกห้องหนึ่ง เจ้าของบ้านอธิบายว่าเป็น guest room ลืมบอกว่าในบ้านทั้งหลังมืดมาก มองแทบจะไม่เห็นอะไร นี่เปิดแฟลชถ่ายรูปเอา


พอชมบ้านเสร็จเค้าก็จะต้อนพวกเราไปชมร้านของที่ระลึกของหมู่บ้าน ซื้อก็ได้ไม่ซื้อก็ได้ไม่ว่ากัน แต่คนแห่มามุงดูพวกเรากันทั้งหมู่บ้าน เด็กเล็ก ๆ มีแมลงวันตอมหู ปาก ตา น้ำมูก น้ำลายไหล รองเท้าก็มีแต่ไม่ชอบใส่(แอบเห็นเก็บไว้ใต้แคร่ ตอนเข้าไปชมบ้าน) เสร็จจากกิจกรรมซื้อของที่ระลึก ชาวมาไซผู้หญิงจะมายืนตบมือร้องเพลง ตรงลานกลางหมู่บ้าน ตรงนี้เราไปยืนร้องเพลงร่วมกับสาว ๆ มาไซ และถ่ายรูปร่วมกัน



การถ่ายรูปสาว ๆ มาไซ ถือเป็นสิ่งต้องห้าม ขนาดเราขออนุญาตแล้ว ก็เลยพอถ่ายได้บ้าง แต่ถ้าคุณผู้ชายจะขอถ่ายรูปบ้างจะโดนปฏิเสธทันที  สอบถามผู้รู้ เค้าอธิบายว่า ชาวมาไซเค้าเชื่อกันว่ามันผิดผี ประมาณนี้ อะไรที่เค้าห้ามเราก็อย่าทำ ถึงตอนนี้ถ้าสังเกตที่ตาของชาวมาไซจะเป็นว่าเป็นสีออกเหลือง ๆ น้ำตาล ๆ คือเค้าไม่ค่อยได้ดื่มน้ำ ฝนตกลงมาแป๊บเดียว แล้วก็แห้งหายไปเลย ชาวบ้านก็ไม่รู้จักรองน้ำไว้ใช้ เวลาจะใช้น้ำต้องเดินไปหาบน้ำจากที่ไกลมาก ๆ พอไม่มีน้ำให้ดื่ม ชาวมาไซเค้าจะอาศัยดื่มเลือดจากวัวแทน ด้วยการเจาะเอาเลือดจากคอวัวมาดื่ม โดยที่วัวยังไม่ตายนะคะ (กรี๊ด!! คิดแล้วเสียวแทนน้องวัว)


ส่วนการนุ่งห่มสีแดง ชาวมาไซอธิบายว่า จะได้มองเห็นได้งายในระยะไกล ป้องกันอันตรายจากสัตว์ด้วยค่ะ โดยนักรบมาไซจะแต่งตัวสวยจัดเต็ม เวลาที่มีงานพิธีต่าง ๆ สร้อยคอเป็นเครื่องประดับพื้นฐาน ที่ทุกคนต้องใส่ก่อนออกจากบ้าน ส่วนสร้อยประดับศรีษะโดยมากจะเห็นมาไซผู้ชายสวมใส่มากกว่าผู้หญิง

มาไซผู้ชาย เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยเจริญพันธ์ จะถูกจัดเข้ากลุ่ม 10 – 20 คน แล้วให้ไปใช้ชีวิตอยู่ในป่า เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือน เพื่อเรียนรู้พืชพรรณ สัตว์ป่า และ การดำรงชีวิต เมื่อผ่านการฝึกแต่ละอย่าง นักรบมาไซจะทำรอยต่าง ๆ ไว้บนร่างกาย เช่นคุณคนขับรถของเรา เค้าจะมีรอยแผลเป็นกลม ๆ ที่ต้นแขนขวาเรียงกัน 10 กว่าจุด


จบทริปนี้ขอลาไปด้วยรูปหมู่ และ รูปเด็กเลี้ยงแพะที่เจอระหว่างทาง ถ่ายรูปเสร็จน้อง ๆ ไม่ขอตังค์ แต่ขออาหารแทน โชคดียังมีแอปเปิ้ลเหลือเลยได้แจกให้น้อง ๆ ไป เป็นทริปที่ประทับใจมาก ถ้ามีโอกาสจะกลับไปเที่ยวอีกแน่นอน ถึงแม้จะไม่ได้สระผมเลยตลอดทั้งทริป แขนจะเกรียมไปหน่อย แต่คุ้มค่ามาก ๆ ที่ได้มาสัมผัสธรรมชาติแบบใกล้ชิดขนาดนี้ ขากลับถ้าเจอเด็ก ๆ เลี้ยงวัว เลี้ยงแพะ เค้าจะหยุดโบกมือให้ตลอดทาง น่ารัก และ ประทับใจ สุดท้ายนี้ไม่มีอะไรมาก แค่อยากจะชวนมาเที่ยว Maasai Mara ลองซักครั้งแล้วคุณจะติดใจนะคะ

Maasai Mara มาไซ มาร่า : มีตังค์อย่างเดียวเที่ยวไม่ได้ (ต้อง ลุย ถึก อดทน และ นิยมธรรมชาติ)

หลังจากคราวก่อนได้เดินทางไปดูฮิปโปที่ lake Naivasha แล้วได้รูปสวย ๆ จากกล้องกาก ๆ มาฝากกันไปแล้ว รอบนี้มาดามได้สปอนเซอร์(คุณผู้ชาย) ถอยกล้อง+เลนส์ใหม่ ให้ใช้เก็บภาพสวย ๆ สำหรับทริปต่อ ๆ ไปในทันที ซึ่งทริปเปิดซิงกล้องใหม่นี้ ก็มาลงตัวที่ทริป Maasai Mara นี่เอง เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาวของ the gang เลยสามารถไปเที่ยวได้หลาย ๆ วัน


เก็บกระเป๋าจัดของรถออกจากคอมพาวด์เช้าวันเสาร์ เวลา 9:30 น. ขับรถไปกันเองระยะทางประมาณ 224 กิโลเมตร จาก ไนโรบี ไม่ไกล แต่ทางไปอ้อมเขาคดเคี้ยว ถนนบางช่วงคือขรุขระ มาก ถึง มากที่สุด และ 40 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนจะถึงที่หมาย มันคือ ถนนหินแห่หินกรวด!!!! ซึ่งขับยากไม่พอ ยังมีฝูงแพะ ฝูงวัว รอวิ่งข้ามถนนอีกเป็นระยะ ๆ


นั่งรถหัวสั่นหัวคลอนอย่างเพลิดเพลิน จนไม่รู้ว่าเสาไฟฟ้ามันหายไปจากข้างทางตอนไหน และ ในที่สุดก็มาถึงแคมป์ที่ พวกเราทำการจองไว้ค่ะ ป้ายทางเข้าเล็ก ๆ มองแทบจะไม่เห็น


พอจอดรถปั๊บ ก็จะมีคนมาต้อนรับและพาเราเข้าไปตรง reception&bar ซึ่งเค้าจะแนะนำรายละเอียดต่าง ๆ ในการเข้าพัก บริการต่าง ๆ จากนั้นก็จะพาเดินไปยังที่พัก


พนักงานต้อนรับ และ ไกด์ของเราคนนี้ชื่อ Jackson ค่ะ เป็นชาวมาไซ ตรงบาร์นี้เราสามารถสั่งเครื่องดื่ม และ ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ ได้ เงินยังไม่ต้องจ่าย แต่ เค้าจะให้เขียนชื่อและลงบัญชีไว้ทุกครั้งที่เราสั่งของกิน รอเก็บเงินทีเดียวตอน check out


นอกจากนี้ภายใน reception&bar ยังเป็นมุมผักผ่อน และ รับประทานอาหารด้วยค่ะ บัฟเฟ่ต์อาหารเช้า และ เย็น ทานกันที่นี่ มีหนังสือให้อ่าน มีมุมชาร์จแบตกล้อง และ มือถือ มีโต๊ะ pool ให้เล่นหยอดเหรียญเกมละ 20 ชิลลิ่ง (1 บาท  = ประมาณ เกือบ ๆ 3 ชิลลิ่ง)

    
   << และก็ยังมีมุมขายของที่ระลึก เล็ก ๆ เค้าบอกว่ารายได้ก็สนับสนุนครอบครัวและชุมชนในท้องถิ่นนี้แหละค่ะ เราซื้อผ้าห่มมาไซมา 2 ผืน ผ้าห่มนี้จะเห็นว่าชาวมาไซชอบเอามาไว้คลุมตัว คือ คลุมตอนกลางคืนอุ่น คลุมกันแดดตอนกลางวันจะเย็น






หลังจากอธิบายรายการต่าง ๆ เสร็จแล้ว คุณไกด์พาเราเดินออกไปยังที่พักค่ะ ทางเดินจะมีหินเรียงเป็นทางและทาสีขาวด้านบนไว้ เพราะเวลากลางคืนที่นี่จะมืดมาก ๆ ที่พักจะเป็นเต็นท์ มีแบบใหญ่พักเป็นคู่ หรือ 4 คน จะมีห้องส้วม และ ห้องอาบน้ำในตัว(ด้านหลังแบบ open air)


แบบที่พักเดี่ยวจะมีห้องน้ำรวม และ ห้องอาบน้ำรวม แบบ open air เช่นกัน อยู่ไม่ไกล มีน้ำอุ่นให้อาบตลอดเวลา ที่นี่ใช้พลังงานจากแผง solar ค่ะ เพราะตอนกลางวันแดดเปรี้ยงมาก ๆ นอนเต๊นท์ที่นี่ก็ไม่ต้องกลัวหนาวนะคะ เค้าจัดไฟไว้ให้ดวงเล็ก ๆ มีมุ้งกันยุง หมอน ผ้าห่มหนามาก รองเท้าฟองน้ำ ผ้าเช็ดตัว กระดาษชำระ และ มีกุญแจล็อกเต๊นท์ไว้ให้ค่ะ


หลังจากสำรวจที่พัก เก็บของ และ พักผ่อนตามอัธยาศัยแล้ว เรามานั่งเล่นที่ reception&bar เนื่องจากเดินทางมาทั้งวันเลยอยากจะเก็บแรงไว้ลุยส่องสัตว์ ส่วนเพื่อน ๆ อีก 2 คน ขอให้คุณไกด์ พาไปเดินเที่ยวชมธรรมชาติที่ยอดเขาใกล้ ๆ อาหารเย็นที่นี่เริ่มเวลา 7:30 น. (เริ่มช้าเพราะรอนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ กลับเข้าที่พักด้วยค่ะ) พ่อครัวที่นี่ทำอาหารรสชาติใช้ได้เลยค่ะ แต่ อาหารจะมีมาแบบพอดี พออิ่ม จะตักเยอะก็เกรงใจคนอื่น ๆ นิดนึง เอาเป็นว่าอาหารหมดเกลี้ยงทุกมื้อ ทุกวัน และ หลังอาหารเย็นคุณไกด์จะเข้ามาคุยกับเราถึงแผนการท่องเที่ยวสำหรับวันพรุ่งนี้

การเข้าไปทัวร์ส่องสัตว์ใน park เค้าจะเรียกว่า game drive นะคะ ซึ่ง คุณไกด์แนะนำว่า ควรรีบออกไปกันแต่เช้า ประตู park เปิด เวลา 6:30 น. ควรไปซื้อตั๋วก่อนเวลาเล็กน้อย เพราะถ้าไปสาย สัตว์ต่าง ๆ ที่เราอยากไปดูอาจจะหลบเข้านอนไม่โผล่ออกมาให้เห็นก็เป็นได้
สรุปว่าเราตื่นเต้นจนนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ลุกมาทำธุระส่วนตัว และ อาบน้ำ ตอนตี 5 โอ้ย!!! อากาศดีมาก ๆ ทานอาหารเช้า เตรียมข้าวของ ไกด์เอารถที่เราจองไว้มารับพร้อมคนขับชื่อ David รถเปิดหลังคาได้ตามในภาพ ราคาเช่ารถทั้งวันรวมไกด์+คนขับ+น้ำ และ อาหารกลางวัน ถือว่าคุ้ม!!!!



แคมป์เราจะอยู่ห่างประตู park ทางฝั่ง Sekenani ประมาณ 3 กิโลเมตร ระหว่างทาง จะขับผ่านหมู่บ้านมาไซเป็นระยะ ๆ พอถึงประตูทางเข้า ต้องเอาพาสปอร์ตให้ไกด์ลงไปซื้อบัตรเข้า park พอดีเราได้บัตรประจำตัวของเคนยาแล้ว ค่าตั๋วก็จะเป็นเรท resident 1,200 ชิลลิ่ง ถ้าราคานักท่องเที่ยวปกติก็อยู่ราว ๆ 60usd ค่าตั๋วนี้เราจ่ายครั้งเดียวใช้เข้า park ได้ 2 วัน ระหว่างที่รอซื้อตั๋วก็จะมีสาว ๆ มาไซมารุมขายของรอบรถ คุณไกด์บอกว่าถ้าไม่สนใจจะซื้อก็ให้ปิดหน้าต่างรถไว้ แล้วไม่ต้องหันไปดู เกือบลืมไป ข้อห้ามที่คุณไกด์บอก คือ อย่าถ่ายรูปสาว ๆ มาไซถ้าไม่ได้รับอนุญาต และ ห้ามถ่ายรูปตำรวจใน park ห้ามขับรถเอง ห้ามปีนหลังคารถ ห้ามลงรถโดยไม่ถามไกด์ซะก่อน จากนี้ก็ล้อหมุนเข้าใน park กันได้แล้วค่ะ

สถานที่ ๆ เรามาวันนี้ ก็คือ The Maasai Mara National Reserve แต่อยู่เคนยาเวลาใครถาม ก็บอกแค่ว่าไป Maasai Mara เค้าก็รู้กันค่ะ เขตป่าสงวนนี้กินพื้นที่ ประมาณ 1,510 ตารางกิโลเมตร (ตอนไกด์บอกไม่ได้จำ แต่เปิดดูใน wiki เมื่อกี้นี้เอง) ทุก ๆ ปี ที่ park นี้ จะมี Great Migration คือ การอพยพย้ายถิ่นของฝูงสัตว์ป่าจำนวนมหาศาล เช่น ม้าลาย wildebeest ละมั่ง ฯลฯ เหมือนที่เราเคยเห็นกันในสารคดี ที่มีจระเข้รองาบสัตว์ที่อพยพข้ามแม่น้ำ ซึ่งช่วง Great Migration จะอยู่ในระหว่าง เดือน กรกฎาคม - ตุลาคม ของทุกปี เพราะฉะนั้นถ้าวางแผนมาเที่ยวให้ดูช่วงเวลาดี ๆ นะคะ




การเข้ามาชม Maasai Mara สิ่งที่นักท่องเที่ยวคาดหวังจะได้เห็นนอกจากการ Migration ของสัตว์ข้ามแม่น้ำแล้ว ก็คือการได้เห็น Big Five ซึ่งได้แก่ สิงโต(Lion), เสือดาว(Leopard), ช้างป่าแอฟริกัน(African elephant), แรดดำ(Black rhinoceros) และ ควายป่าแอฟริกัน(Afican buffalo) ทริปนี้โชคดีได้เห็น Big Five ทั้งหมด แต่ แรดดำ มีโอกาสได้เห็นแค่ตูด ช่วงเวลาเกือบ ๆ 7 โมงเช้า วิ่งหายลับเข้าพุ่มไม้ไป ไม่โผล่ออกมาอีกเลย หยิบกล้องถ่ายรูปไม่ทันด้วย คุณไกด์บอกว่าแรดดำ กับ เสือดาว เป็นสัตว์ที่หาดูได้ยาก คือต้องจังหวะดี และ โชคดีด้วยถึงจะได้เจอและเก็บภาพสวย ๆ ได้ทัน


หลังจากเข้าประตู park มาแล้ว สิ่งที่เราพบเห็นได้ทั่วไป และ มากมาย ในนี้ คือ หมูป่า ม้าลาย และ ละมั่ง ค่ะ









หมูป่า อยู่รวมกัน 3 – 4 ตัว (พ่อ แม่ ลูก) เวลาวิ่งหางจะชี้ขึ้น และ วิ่งเร็วมาก ๆ  เวลากินอาหารจะคุกเข่าลง คุณไกด์บอกว่า เป็นเพราะหมูป่าคอสั้นต้องย่อตัวลงให้สามารถกินอาหารได้





ถัดมาเราก็จะเห็นม้าลาย ยืนเป็นหมู่ คณะ ไปตลอดทางที่เราขับรถผ่าน มีม้าลายสีเข้ม ๆ กับ สีลายอ่อน ๆ คุณไกด์บอกว่า ตัวสีอ่อนยังอายุน้อยอยู่ เดี๋ยวพอแก่สีจะค่อย ๆ เข้มขึ้นเองเรื่อย ๆ


ภาระกิจสำคัญของคุณไกด์ และ คุณคนขับ วันนี้คือ พาพวกเราตามหา Big Five ตลอดทางที่ขับรถลุยไป ก็จะพบเห็นรถของนักท่องเที่ยวอื่น ๆ เป็นระยะ ๆ คนขับจะหยุดรถถามไถ่กัน ว่ามาจากทางไหน? เห็นสัตว์อะไรบ้างแล้วรึยัง? ฯลฯ เส้นทางที่เราขับรถกันไปนั้น จะคล้าย ๆ เส้นทางไปนาของคนอิสานบ้านเรา มีหลุม บ่อ ปลัก และ กอหญ้าแห้ง ๆ กระจายไปทั่ว คุณไกด์อธิบายว่าหญ้าเหลือง ๆ แห้ง ๆ นี่หล่ะ หาชมสัตว์ได้ง่าย เพราะถ้าหญ้าเขียวแล้วมันจะขึ้นสูงมากจนบังสัตว์ป่ามิดไปหมด


ระหว่างทางไปดูเสือดาว มียีราฟยืนเล็มต้นไม้อยู่แถว ๆ นั้นพอดี เลยได้รูปน้องยีราฟสวย ๆ มาฝาก สังเกตดูสียีราฟจะเข้ม ๆ แถมตัวเท่าตึก!!! ไม่เหมือนกับที่เคยเห็นในสวนสัตว์  ตอนขากลับมีโอกาสได้เห็นยีราฟสีน้ำตาลล้วน ไม่วง ไม่จุด คล้าย ๆ ม้า ยืนขวางทางอยู่ด้วย เสียดายยกกล้องขึ้นถ่ายรูปไม่ทันมันวิ่งหนีไปซะก่อน



จุดถัดมามีรถนักท่องเที่ยวหลายคันจอดเรียง ๆ กันอยู่ คุณไกด์บอกว่า เราจะมาซุ่มดูเสือดาวกัน ณ จุดนี้ ถ้าจะถามว่าแล้วรู้ได้ไงว่าเสือดาวมันอยู่แถวนี้?? คุณไกด์เลยชี้ให้ดูบนต้นไม้ โอ๊ะ....แม่เจ้า มีซากขาควายห้อยอยู่บนนั้น คุณไกด์บอกว่าเสือดาวมันหอบเอาอาหารขึ้นไปเก็บไว้บนนั้น แล้วมันก็ไปหลบนอนในพุ่มไม้ใกล้ ๆ


 ใช้เวลารอดูเสือดาวอยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง รู้แหละว่าเสือดาวหลบอยู่ตรงไหน แต่มันไกลมองไม่เห็น แถมหญ้าบังด้วย สุดท้ายคุณไกด์ตัดสินใจให้คุณคนขับ เปลี่ยนมุมรอ แล้วขับเข้าไปใกล้ ๆ เลยได้ภาพเสือดาวสวย ๆ มาฝาก ณ จุดนี้ รัวชัตเตอร์ไปประมาณ 50 ช็อต อย่างรวดเร็ว และ รีบขับออกมาอย่างเร่งด่วน เพราะเรากำลังออฟโร้ดกันอยู่


อันที่จริง road และ off road ที่นี่แทบจะไม่เห็นความแตกต่าง ช่วงแรก ๆ ที่ขับรถเข้ามา ยังพอเห็นถนนหนทางอยู่บ้าง แต่พอเข้ามาลึก ๆ ทางที่มีรอยล้อรถผ่านจัดว่าเป็น road ซึ่งทุกคันต้องขับตามทางที่มีรอยล้อรถนี้เท่านั้น ส่วนทาง off road ก็คือขับลุยไปบนป่าหญ้าเลย ซึ่ง ต้องขออนุญาต เพราะมีเจ้าหน้าที่คอยขับรถตรวจตราอยู่ ไม่งั้นจะโดนค่าปรับ



ต่อมาเรามาเจอกับ African buffalo ควายป่าแอฟริกัน ซึ่งมีเขาใหญ่ ๆ โง้ง ๆ คล้ายผมแสกกลาง ดู ๆ ไป ก็คล้ายกับน้องควายที่ท้องนาบ้านเรา แต่ คุณไกด์บอกว่ามันเป็นสัตว์ที่อันตราย ชาวมาไซที่เดินค้ำไม้เท้า กะโผลกกะเผลกในหมู่บ้านนั้น ก็มีเหตุมาจากควายป่าเข้าชาร์จ บางรายถึงตายก็มี







สัตว์ที่เราเห็นเป็นระยะ ๆ ตามทาง นอกจากละมั่ง หมูป่า ม้าลาย แล้วก็ยังมีฝูง wildebeest ยืนตากแดดสีซีด ๆ อยู่อีกด้วย ณ จุดนี้ คุณพี่ที่ไปทัวร์กับอีกกรุ๊ปบอกว่า นั่งรอเกือบ 2 ชั่วโมง จนได้เห็นฝูง wildebeest พากันอพยพข้ามแม่น้ำ

































ตรงจุดที่ดินเป็นแง่ง ๆ แบบนี้แหละค่ะ (มีหลายที่ตลอดแนวแม่น้ำ) เป็นจุดที่สัตว์ใช้ในการข้ามแม่น้ำ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีความสูงชันมาก


ฝูงสัตว์นอกจากจะต้องยากลำบากในการข้ามแม่น้ำแล้ว ยังต้องคอยระวังพี่ขอนลอย(จระเข้)ในน้ำ และ เหล่าบรรดาฝูงฮิปโป







จระเข้ตัวใหญ่ น่ากลัวมาก ๆ ในภาพนี้ก็ประมาณซัก 5 เมตรได้










ส่วนฮิปโป จะอยู่รวมกันเป็นฝูงแช่หลบอยู่ใต้น้ำ โผล่มาแต่หัวกับหู บางครั้งมันจะขึ้นมานอนอาบแดด คุณไกด์บอกว่าฮิปโปตัวนึง ๆ หนักประมาณ 3 ตัน แต่ถึงจะอ้วนก็ว่ายน้ำได้เร็ว แถมยังวิ่งบนบกได้อีกด้วย






ชาวมาไซ เรียก สิงโต ว่า “Zimba” วันแรกเราเจอฝูงสิงโตตัวเมีย พากันนอนกลางวันอยู่ใต้ต้นไม้ ได้เข้าไปดูใกล้ ๆ แบบแทบจะเอื้อมมือถึง


สิงโตคู่ถัดมา เราเห็นที่ริมแม่น้ำ คราวนี้เป็นตัวผู้และตัวเมีย กำลังปั่มปั๊มกันอยู่ (รวดเร็วมาก) แต่เราไม่พลาด ถ่ายรูปไว้ทัน คิดว่าเป็น best shot of the trip เลยก็ว่าได้ ตื่นเต้นจนแทบลืมหายใจ



พอขับรถเลยมาอีกพักใหญ่ ก็จะเจอสิงโตตัวผู้อีกตัวนอนกลางวันอยู่ในพุ่มไม้ เวลาสิงโตหลับดูน่ารักมาก


มากอดกับพี่ไม๊?!?!




ส่วนวันที่ 2 เราขับไปเจอซากน้องควายโดนกระซวกเครื่องในกองอยู่ คุณไกด์เลยพาตรงดิ่งไปยังพุ่มไม้ใกล้ ๆ ทันที เจอสิงโตตัวผู้กำลังจะนอนหลับ ส่วนตัวเมียแอบหลับอยู่ไกลออกไปหน่อย







คุณคนขับพาขับเข้าไปใกล้มาก ๆ ระยะไม่เกิน 3 เมตร แทบจะต้องกลั้นหายใจ ว่าแล้วก็รีบรัวชัตเตอร์ คุณผู้ชายต้องรีบดึงขาเราไว้ กลัวเราตกรถ ส่วนเจ้าสิงโตคงจะรำคาญเลยลุกขึ้นนั่งมองมาที่รถเรา ได้มองตาสิงโตชัด ๆ คือ มันน่ากลัวมาก บอกได้เลยว่าเลือดเย็น

ดูสิงโตจนจุใจ ขากลับออกมาซากควายเมื่อกี้ก็มีฝูงแร้งมาจิกกิน สงสัยเราจะตื่นเต้นมากไปเลยปวดฉี่ เราก็ถามคุณไกด์ว่า “มีห้องน้ำไม๊?? ปวดฉี่” คุณไกด์บอกให้รอซัก 15 นาที ไหวไม๊?? จากนั้นก็ขับรถออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ไปจนถึงทุ่งหญ้าโล่ง ๆ มีจอมปลวก วนรถ 3 รอบ คุณไกด์วิ่งไปหลังจอมปลวก บอกว่าปลอดภัยลงไปฉี่หลังจอมปลวกได้ ส่วนผู้ชาย ยืนฉี่หลังรถ นาทีนั้นไม่กลัวคนเห็น แค่ขอทำธุระแบบสบาย ๆ ไม่มีอะไรมาวิ่งไล่เป็นพอด้วยเหตุนี้เองเราเลยไม่ค่อยดื่มน้ำมาก กลัวปวดท้องฉี่!!!


ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ร่วมกับคุณไกด์ และ คุณคนขับรถ ระหว่างแวะรอทำธุระส่วนตัวหลังจอมปลวก


ตลอดเวลาที่ทั้งนั่ง ทั้งยืนอยู่บนรถ ต้องคอยเอามือจับโหนเป็นลิงเพื่อกันหัวโขก กันกระแทก ไหนจะต้องคอยระวังกล้องไม่ให้หล่น ไหนต้องคอยถ่ายรูปเวลาเจอสัตว์ที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ คอยแย่งมุมถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ก็ไม่วายได้รอยเขียวช้ำมาตามตัว ผมที่รวบไว้ก็แข็งอยู่ทรง เพราะเจอทั้งลม และ ฝุ่นตลบ โชคยังดีที่พอกครีมกันแดดเอาไว้แล้ว



ช่วงพักรับประทานอาหารกลางวัน คุณไกด์และคุณคนขับ พาไปนั่งปิคนิคใต้ต้นไม้(นาน ๆ จะเจอต้นไม้ซักต้นนึง) อาหารก็จะมี แซนวิส ไข่ต้ม กล้วยหอมครึ่งลูก น้ำผลไม้ คุ้กกี้ มันฝรั่งทอด และ น้ำดื่ม กินเสร็จนั่งพัก ทำธุระส่วนตัว เก็บข้าวเก็บของ และ ไปกันต่อ ลืมบอกว่าเสบียงที่เราขนขึ้นรถมาด้วย ไม่มีโอกาสได้หยิบมากินจ้า มัวแต่ตื่นตา ตื่นใจกับธรรมชาติจนลืม

การที่เราจะได้เจอสัตว์ต่าง ๆ หรือ ได้ภาพถ่ายมุมสวย ๆ ดี ๆ หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคนขับรถด้วยเป็นสำคัญ ซึ่งคนขับรถ ต้องหามุม กะระยะ หยุดรถ เคลื่อนรถ ให้ได้จังหวะพอดีทั้งกับสัตว์ และ กับคนบนรถ ซึ่งโชคดีทริปนี้คุณคนขับรถ ทำได้เยี่ยมมาก ส่วนไกด์ก็ต้องคอยดูทาง ส่องหาสัตว์ต่าง ๆ และ อธิบายรวมถึงตอบคำถามต่าง ๆ ให้กับนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ

ลำดับถัดไปเรามาดูเจ้าเสือชีต้าร์กัน Cheetah เรามาเจอในวันที่ 2 ตัวแรกเจอแต่เช้าเลย นางนอนหลบอยู่ใต้พุ่มไม้


ตัวถัดมาใช้เวลาเกือบครึ่งวันกว่าจะหาเจอ อันที่จริงมันก็อยู่แถว ๆ นั้นแหละ แต่สีมันกลมกลืนเลยมองเห็นยากหน่อย ตัวนี้อยู่กับลูก ๆ อีก 3 ตัว น่ารักมาก ๆ ได้ถ่ายรูปใกล้ ๆ ตื่นเต้นจัง


ตัวสุดท้ายของทริปนี้ เราเป็นคนเห็นก่อนในระยะ 800 เมตร ตอนแรกไม่แน่ใจว่าคือตัวอะไร แต่สัตว์ใหญ่แน่ ๆ เลยบอกให้คนขับรถไปใกล้ ๆ ไกด์สามารถบอกได้ว่าเป็น cheetah ตั้งแต่ระยะ 500 เมตร เราเข้าไปจอดรถถ่ายรูปใกล้แบบเอื้อมมือถึง นางนอนผึ่งแดดผึ่งลมอยู่บนโขดหิน สังเกตที่มุมปาก ยังมีสีแดง ๆ ติดอยู่เลย แสดงว่าเพิ่งจะกินอิ่มมาแน่ ๆ ว่าแล้วก็รัวชัตเตอร์จนจุใจ ก่อนจะออกเดินทางต่อ


สัตว์อีกชนิดหนึ่งที่คุณไกด์บอกว่าโคตรอันตราย นอกเหนือจาก ควายป่าแอฟริกัน แล้ว ก็ยังมี ช้างป่าแอฟริกัน ทำไมถึงอันตราย คุณไกด์อธิบายว่า สัตว์อื่น ๆ เสือ สิงโต ถ้ามันไม่หิว และเราไม่ซวยจนเกินไป มันจะไม่ทำร้ายคน แต่สำหรับ ควายป่า และ ช้างป่า มักจะพุ่งเข้าชาร์จคน ทำให้บาดเจ็บ และ ถึงตายได้ แต่ถึงอย่างงั้นเราก็ยังตามถ่ายรูปมันอยู่ดี สวยงามและน่ารักมาก


วันแรกเราเข้า Park เช้า 6:30 น. ตระเวนขับรถไปทั่ว ด้วยความเร็ว 20 – 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง เที่ยวดูสัตว์ต่าง ๆ จนกระทั่ง 4 โมงเย็นกลับเข้าแคมป์ อาบน้ำ พักผ่อน รออาหารเย็น ซึ่งจะมีรายการแจ้งไว้บนกระดานเมนูประจำวัน (อร่อยทุกวัน)
หลังอาหารเย็นเราจะมี กิจกรรมรอบกองไฟ ณ ลานข้าง ๆ reception&bar โดยจะมีไกด์กรุ๊ปเรา หรือ จากกรุ๊ปอื่น ๆ รวมถึงคนท้องที่ (ชาวมาไซ) ที่ทำงานในแคมป์ และ นักท่องเที่ยวที่พักในแคมป์ มานั่งพูดคุย แลกเปลี่ยน ซักถาม เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับท้องถิ่น รวมถึง game drive ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อยากเห็นอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ พร้อมกับนัดหมายเวลาในวันถัดไป ฯลฯ ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน


วันที่ 2 เราเห็น ไฮยีน่าทั้งหมด 3 ตัว ตัวแรกช่วงเช้ามันกำลังวิ่งอยู่ไกล ๆ เราทันได้ถ่ายรูปมันหลบอยู่ในพุ่มไม้ แต่จะระยะไกลหน่อย ตัวที่ 2 มันยืนขวางถนนช่วงบ่าย ๆ พอเข้าไปใกล้มันก็วิ่งหนี ส่วนตัวสุดท้าย เราเป็นคนเจอมันอีกแล้ว ในจังหวะที่รถขับผ่านขอนไม้แห้ง เราเหลือบไปเห็นหูไฮยีน่าขยับ เลยบอกรถให้เข้าไปใกล้ ๆ พอเข้าใกล้มันก็กระโดดออกมา ในปากยังคาบของกินอยู่ ตลกมาก แถมหันมามองค้อนเราก่อนจะวิ่งหนีไป มีน้องคนนึงบอกว่าเสียงหัวเราะของไฮยีน่า เหมือนกับเสียงหัวเราะของคน อันนี้ลองเปิดฟังในยูทูปแล้วจริง ยิ่งตลกไปกันใหญ่

ยังไม่จบ แต่ สงสัยโพสจะยาว ภาพจะใหญ่เกิน ขอยกเรื่องหมู่บ้านมาไซ ไปไว้ในอีกตอนนึงนะคะ