หลังจากคราวก่อนได้เดินทางไปดูฮิปโปที่ lake Naivasha
แล้วได้รูปสวย ๆ จากกล้องกาก ๆ มาฝากกันไปแล้ว รอบนี้มาดามได้สปอนเซอร์(คุณผู้ชาย)
ถอยกล้อง+เลนส์ใหม่ ให้ใช้เก็บภาพสวย ๆ สำหรับทริปต่อ ๆ ไปในทันที
ซึ่งทริปเปิดซิงกล้องใหม่นี้ ก็มาลงตัวที่ทริป Maasai Mara นี่เอง เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาวของ
the gang เลยสามารถไปเที่ยวได้หลาย ๆ วัน
เก็บกระเป๋าจัดของรถออกจากคอมพาวด์เช้าวันเสาร์ เวลา 9:30
น. ขับรถไปกันเองระยะทางประมาณ 224 กิโลเมตร จาก ไนโรบี ไม่ไกล
แต่ทางไปอ้อมเขาคดเคี้ยว ถนนบางช่วงคือขรุขระ มาก ถึง มากที่สุด และ 40
กิโลเมตรสุดท้ายก่อนจะถึงที่หมาย มันคือ ถนนหินแห่หินกรวด!!!! ซึ่งขับยากไม่พอ
ยังมีฝูงแพะ ฝูงวัว รอวิ่งข้ามถนนอีกเป็นระยะ ๆ
นั่งรถหัวสั่นหัวคลอนอย่างเพลิดเพลิน จนไม่รู้ว่าเสาไฟฟ้ามันหายไปจากข้างทางตอนไหน
และ ในที่สุดก็มาถึงแคมป์ที่ พวกเราทำการจองไว้ค่ะ ป้ายทางเข้าเล็ก ๆ
มองแทบจะไม่เห็น
พอจอดรถปั๊บ ก็จะมีคนมาต้อนรับและพาเราเข้าไปตรง
reception&bar ซึ่งเค้าจะแนะนำรายละเอียดต่าง ๆ ในการเข้าพัก บริการต่าง ๆ
จากนั้นก็จะพาเดินไปยังที่พัก
พนักงานต้อนรับ และ ไกด์ของเราคนนี้ชื่อ Jackson ค่ะ เป็นชาวมาไซ
ตรงบาร์นี้เราสามารถสั่งเครื่องดื่ม และ ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ ได้ เงินยังไม่ต้องจ่าย
แต่ เค้าจะให้เขียนชื่อและลงบัญชีไว้ทุกครั้งที่เราสั่งของกิน รอเก็บเงินทีเดียวตอน
check out
นอกจากนี้ภายใน reception&bar ยังเป็นมุมผักผ่อน และ
รับประทานอาหารด้วยค่ะ บัฟเฟ่ต์อาหารเช้า และ เย็น ทานกันที่นี่ มีหนังสือให้อ่าน
มีมุมชาร์จแบตกล้อง และ มือถือ มีโต๊ะ pool ให้เล่นหยอดเหรียญเกมละ 20 ชิลลิ่ง (1
บาท = ประมาณ เกือบ ๆ 3 ชิลลิ่ง)
<< และก็ยังมีมุมขายของที่ระลึก เล็ก ๆ
เค้าบอกว่ารายได้ก็สนับสนุนครอบครัวและชุมชนในท้องถิ่นนี้แหละค่ะ
เราซื้อผ้าห่มมาไซมา 2 ผืน ผ้าห่มนี้จะเห็นว่าชาวมาไซชอบเอามาไว้คลุมตัว คือ
คลุมตอนกลางคืนอุ่น คลุมกันแดดตอนกลางวันจะเย็น
หลังจากอธิบายรายการต่าง
ๆ เสร็จแล้ว คุณไกด์พาเราเดินออกไปยังที่พักค่ะ
ทางเดินจะมีหินเรียงเป็นทางและทาสีขาวด้านบนไว้ เพราะเวลากลางคืนที่นี่จะมืดมาก ๆ
ที่พักจะเป็นเต็นท์ มีแบบใหญ่พักเป็นคู่ หรือ 4 คน จะมีห้องส้วม และ
ห้องอาบน้ำในตัว(ด้านหลังแบบ open air)
แบบที่พักเดี่ยวจะมีห้องน้ำรวม และ ห้องอาบน้ำรวม แบบ open
air เช่นกัน อยู่ไม่ไกล มีน้ำอุ่นให้อาบตลอดเวลา ที่นี่ใช้พลังงานจากแผง solar ค่ะ
เพราะตอนกลางวันแดดเปรี้ยงมาก ๆ นอนเต๊นท์ที่นี่ก็ไม่ต้องกลัวหนาวนะคะ
เค้าจัดไฟไว้ให้ดวงเล็ก ๆ มีมุ้งกันยุง หมอน ผ้าห่มหนามาก รองเท้าฟองน้ำ
ผ้าเช็ดตัว กระดาษชำระ และ มีกุญแจล็อกเต๊นท์ไว้ให้ค่ะ
หลังจากสำรวจที่พัก
เก็บของ และ พักผ่อนตามอัธยาศัยแล้ว เรามานั่งเล่นที่ reception&bar เนื่องจากเดินทางมาทั้งวันเลยอยากจะเก็บแรงไว้ลุยส่องสัตว์
ส่วนเพื่อน ๆ อีก 2 คน ขอให้คุณไกด์ พาไปเดินเที่ยวชมธรรมชาติที่ยอดเขาใกล้ ๆ อาหารเย็นที่นี่เริ่มเวลา
7:30 น. (เริ่มช้าเพราะรอนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ กลับเข้าที่พักด้วยค่ะ)
พ่อครัวที่นี่ทำอาหารรสชาติใช้ได้เลยค่ะ แต่ อาหารจะมีมาแบบพอดี พออิ่ม
จะตักเยอะก็เกรงใจคนอื่น ๆ นิดนึง เอาเป็นว่าอาหารหมดเกลี้ยงทุกมื้อ ทุกวัน และ
หลังอาหารเย็นคุณไกด์จะเข้ามาคุยกับเราถึงแผนการท่องเที่ยวสำหรับวันพรุ่งนี้
การเข้าไปทัวร์ส่องสัตว์ใน
park เค้าจะเรียกว่า game drive นะคะ ซึ่ง คุณไกด์แนะนำว่า ควรรีบออกไปกันแต่เช้า
ประตู park เปิด เวลา 6:30 น. ควรไปซื้อตั๋วก่อนเวลาเล็กน้อย เพราะถ้าไปสาย
สัตว์ต่าง ๆ ที่เราอยากไปดูอาจจะหลบเข้านอนไม่โผล่ออกมาให้เห็นก็เป็นได้
สรุปว่าเราตื่นเต้นจนนอนหลับ
ๆ ตื่น ๆ ลุกมาทำธุระส่วนตัว และ อาบน้ำ ตอนตี 5 โอ้ย!!! อากาศดีมาก ๆ
ทานอาหารเช้า เตรียมข้าวของ ไกด์เอารถที่เราจองไว้มารับพร้อมคนขับชื่อ David
รถเปิดหลังคาได้ตามในภาพ ราคาเช่ารถทั้งวันรวมไกด์+คนขับ+น้ำ และ อาหารกลางวัน
ถือว่าคุ้ม!!!!
แคมป์เราจะอยู่ห่างประตู
park ทางฝั่ง Sekenani ประมาณ 3 กิโลเมตร ระหว่างทาง
จะขับผ่านหมู่บ้านมาไซเป็นระยะ ๆ พอถึงประตูทางเข้า ต้องเอาพาสปอร์ตให้ไกด์ลงไปซื้อบัตรเข้า
park พอดีเราได้บัตรประจำตัวของเคนยาแล้ว ค่าตั๋วก็จะเป็นเรท resident 1,200 ชิลลิ่ง
ถ้าราคานักท่องเที่ยวปกติก็อยู่ราว ๆ 60usd ค่าตั๋วนี้เราจ่ายครั้งเดียวใช้เข้า
park ได้ 2 วัน ระหว่างที่รอซื้อตั๋วก็จะมีสาว ๆ มาไซมารุมขายของรอบรถ
คุณไกด์บอกว่าถ้าไม่สนใจจะซื้อก็ให้ปิดหน้าต่างรถไว้ แล้วไม่ต้องหันไปดู
เกือบลืมไป ข้อห้ามที่คุณไกด์บอก คือ อย่าถ่ายรูปสาว ๆ มาไซถ้าไม่ได้รับอนุญาต และ
ห้ามถ่ายรูปตำรวจใน park ห้ามขับรถเอง ห้ามปีนหลังคารถ ห้ามลงรถโดยไม่ถามไกด์ซะก่อน
จากนี้ก็ล้อหมุนเข้าใน park กันได้แล้วค่ะ
สถานที่ ๆ
เรามาวันนี้ ก็คือ The Maasai Mara National Reserve แต่อยู่เคนยาเวลาใครถาม
ก็บอกแค่ว่าไป Maasai Mara เค้าก็รู้กันค่ะ เขตป่าสงวนนี้กินพื้นที่ ประมาณ 1,510
ตารางกิโลเมตร (ตอนไกด์บอกไม่ได้จำ แต่เปิดดูใน wiki เมื่อกี้นี้เอง) ทุก ๆ ปี ที่
park นี้ จะมี Great Migration คือ การอพยพย้ายถิ่นของฝูงสัตว์ป่าจำนวนมหาศาล เช่น
ม้าลาย wildebeest ละมั่ง ฯลฯ เหมือนที่เราเคยเห็นกันในสารคดี
ที่มีจระเข้รองาบสัตว์ที่อพยพข้ามแม่น้ำ ซึ่งช่วง Great Migration จะอยู่ในระหว่าง
เดือน กรกฎาคม - ตุลาคม ของทุกปี เพราะฉะนั้นถ้าวางแผนมาเที่ยวให้ดูช่วงเวลาดี ๆ
นะคะ
การเข้ามาชม Maasai
Mara สิ่งที่นักท่องเที่ยวคาดหวังจะได้เห็นนอกจากการ Migration
ของสัตว์ข้ามแม่น้ำแล้ว ก็คือการได้เห็น Big Five ซึ่งได้แก่ สิงโต(Lion),
เสือดาว(Leopard), ช้างป่าแอฟริกัน(African elephant), แรดดำ(Black rhinoceros)
และ ควายป่าแอฟริกัน(Afican buffalo) ทริปนี้โชคดีได้เห็น Big Five ทั้งหมด แต่
แรดดำ มีโอกาสได้เห็นแค่ตูด ช่วงเวลาเกือบ ๆ 7 โมงเช้า วิ่งหายลับเข้าพุ่มไม้ไป
ไม่โผล่ออกมาอีกเลย หยิบกล้องถ่ายรูปไม่ทันด้วย คุณไกด์บอกว่าแรดดำ กับ เสือดาว
เป็นสัตว์ที่หาดูได้ยาก คือต้องจังหวะดี และ โชคดีด้วยถึงจะได้เจอและเก็บภาพสวย ๆ
ได้ทัน
หลังจากเข้าประตู
park มาแล้ว สิ่งที่เราพบเห็นได้ทั่วไป และ มากมาย ในนี้ คือ หมูป่า ม้าลาย และ
ละมั่ง ค่ะ
หมูป่า อยู่รวมกัน 3 – 4 ตัว (พ่อ แม่ ลูก) เวลาวิ่งหางจะชี้ขึ้น
และ วิ่งเร็วมาก ๆ
เวลากินอาหารจะคุกเข่าลง คุณไกด์บอกว่า เป็นเพราะหมูป่าคอสั้นต้องย่อตัวลงให้สามารถกินอาหารได้
ถัดมาเราก็จะเห็นม้าลาย ยืนเป็นหมู่ คณะ
ไปตลอดทางที่เราขับรถผ่าน มีม้าลายสีเข้ม ๆ กับ สีลายอ่อน ๆ คุณไกด์บอกว่า
ตัวสีอ่อนยังอายุน้อยอยู่ เดี๋ยวพอแก่สีจะค่อย ๆ เข้มขึ้นเองเรื่อย ๆ
ภาระกิจสำคัญของคุณไกด์
และ คุณคนขับ วันนี้คือ พาพวกเราตามหา Big Five ตลอดทางที่ขับรถลุยไป ก็จะพบเห็นรถของนักท่องเที่ยวอื่น
ๆ เป็นระยะ ๆ คนขับจะหยุดรถถามไถ่กัน ว่ามาจากทางไหน? เห็นสัตว์อะไรบ้างแล้วรึยัง?
ฯลฯ เส้นทางที่เราขับรถกันไปนั้น จะคล้าย ๆ เส้นทางไปนาของคนอิสานบ้านเรา มีหลุม
บ่อ ปลัก และ กอหญ้าแห้ง ๆ กระจายไปทั่ว คุณไกด์อธิบายว่าหญ้าเหลือง ๆ แห้ง ๆ
นี่หล่ะ หาชมสัตว์ได้ง่าย เพราะถ้าหญ้าเขียวแล้วมันจะขึ้นสูงมากจนบังสัตว์ป่ามิดไปหมด
ระหว่างทางไปดูเสือดาว
มียีราฟยืนเล็มต้นไม้อยู่แถว ๆ นั้นพอดี เลยได้รูปน้องยีราฟสวย ๆ มาฝาก
สังเกตดูสียีราฟจะเข้ม ๆ แถมตัวเท่าตึก!!! ไม่เหมือนกับที่เคยเห็นในสวนสัตว์ ตอนขากลับมีโอกาสได้เห็นยีราฟสีน้ำตาลล้วน ไม่วง ไม่จุด
คล้าย ๆ ม้า ยืนขวางทางอยู่ด้วย เสียดายยกกล้องขึ้นถ่ายรูปไม่ทันมันวิ่งหนีไปซะก่อน
จุดถัดมามีรถนักท่องเที่ยวหลายคันจอดเรียง ๆ กันอยู่ คุณไกด์บอกว่า
เราจะมาซุ่มดูเสือดาวกัน ณ จุดนี้ ถ้าจะถามว่าแล้วรู้ได้ไงว่าเสือดาวมันอยู่แถวนี้??
คุณไกด์เลยชี้ให้ดูบนต้นไม้ โอ๊ะ....แม่เจ้า มีซากขาควายห้อยอยู่บนนั้น
คุณไกด์บอกว่าเสือดาวมันหอบเอาอาหารขึ้นไปเก็บไว้บนนั้น
แล้วมันก็ไปหลบนอนในพุ่มไม้ใกล้ ๆ
ใช้เวลารอดูเสือดาวอยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง รู้แหละว่าเสือดาวหลบอยู่ตรงไหน
แต่มันไกลมองไม่เห็น แถมหญ้าบังด้วย สุดท้ายคุณไกด์ตัดสินใจให้คุณคนขับ เปลี่ยนมุมรอ
แล้วขับเข้าไปใกล้ ๆ เลยได้ภาพเสือดาวสวย ๆ มาฝาก ณ จุดนี้ รัวชัตเตอร์ไปประมาณ 50
ช็อต อย่างรวดเร็ว และ รีบขับออกมาอย่างเร่งด่วน เพราะเรากำลังออฟโร้ดกันอยู่
อันที่จริง road
และ off road ที่นี่แทบจะไม่เห็นความแตกต่าง ช่วงแรก ๆ ที่ขับรถเข้ามา ยังพอเห็นถนนหนทางอยู่บ้าง
แต่พอเข้ามาลึก ๆ ทางที่มีรอยล้อรถผ่านจัดว่าเป็น road
ซึ่งทุกคันต้องขับตามทางที่มีรอยล้อรถนี้เท่านั้น ส่วนทาง off road
ก็คือขับลุยไปบนป่าหญ้าเลย ซึ่ง ต้องขออนุญาต
เพราะมีเจ้าหน้าที่คอยขับรถตรวจตราอยู่ ไม่งั้นจะโดนค่าปรับ
ต่อมาเรามาเจอกับ African buffalo ควายป่าแอฟริกัน
ซึ่งมีเขาใหญ่ ๆ โง้ง ๆ คล้ายผมแสกกลาง ดู ๆ ไป
ก็คล้ายกับน้องควายที่ท้องนาบ้านเรา แต่ คุณไกด์บอกว่ามันเป็นสัตว์ที่อันตราย
ชาวมาไซที่เดินค้ำไม้เท้า กะโผลกกะเผลกในหมู่บ้านนั้น ก็มีเหตุมาจากควายป่าเข้าชาร์จ
บางรายถึงตายก็มี
สัตว์ที่เราเห็นเป็นระยะ ๆ ตามทาง นอกจากละมั่ง หมูป่า ม้าลาย แล้วก็ยังมีฝูง wildebeest ยืนตากแดดสีซีด ๆ อยู่อีกด้วย ณ จุดนี้ คุณพี่ที่ไปทัวร์กับอีกกรุ๊ปบอกว่า นั่งรอเกือบ 2 ชั่วโมง จนได้เห็นฝูง wildebeest พากันอพยพข้ามแม่น้ำ
ตรงจุดที่ดินเป็นแง่ง ๆ แบบนี้แหละค่ะ (มีหลายที่ตลอดแนวแม่น้ำ) เป็นจุดที่สัตว์ใช้ในการข้ามแม่น้ำ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีความสูงชันมาก
ฝูงสัตว์นอกจากจะต้องยากลำบากในการข้ามแม่น้ำแล้ว
ยังต้องคอยระวังพี่ขอนลอย(จระเข้)ในน้ำ และ เหล่าบรรดาฝูงฮิปโป
จระเข้ตัวใหญ่ น่ากลัวมาก ๆ ในภาพนี้ก็ประมาณซัก 5 เมตรได้
ส่วนฮิปโป จะอยู่รวมกันเป็นฝูงแช่หลบอยู่ใต้น้ำ โผล่มาแต่หัวกับหู
บางครั้งมันจะขึ้นมานอนอาบแดด คุณไกด์บอกว่าฮิปโปตัวนึง ๆ หนักประมาณ 3 ตัน แต่ถึงจะอ้วนก็ว่ายน้ำได้เร็ว
แถมยังวิ่งบนบกได้อีกด้วย
ชาวมาไซ
เรียก สิงโต ว่า “Zimba” วันแรกเราเจอฝูงสิงโตตัวเมีย พากันนอนกลางวันอยู่ใต้ต้นไม้
ได้เข้าไปดูใกล้ ๆ แบบแทบจะเอื้อมมือถึง
สิงโตคู่ถัดมา
เราเห็นที่ริมแม่น้ำ คราวนี้เป็นตัวผู้และตัวเมีย กำลังปั่มปั๊มกันอยู่
(รวดเร็วมาก) แต่เราไม่พลาด ถ่ายรูปไว้ทัน คิดว่าเป็น best shot of the trip
เลยก็ว่าได้ ตื่นเต้นจนแทบลืมหายใจ
พอขับรถเลยมาอีกพักใหญ่
ก็จะเจอสิงโตตัวผู้อีกตัวนอนกลางวันอยู่ในพุ่มไม้ เวลาสิงโตหลับดูน่ารักมาก
ส่วนวันที่ 2 เราขับไปเจอซากน้องควายโดนกระซวกเครื่องในกองอยู่ คุณไกด์เลยพาตรงดิ่งไปยังพุ่มไม้ใกล้ ๆ ทันที เจอสิงโตตัวผู้กำลังจะนอนหลับ ส่วนตัวเมียแอบหลับอยู่ไกลออกไปหน่อย
คุณคนขับพาขับเข้าไปใกล้มาก
ๆ ระยะไม่เกิน 3 เมตร แทบจะต้องกลั้นหายใจ ว่าแล้วก็รีบรัวชัตเตอร์
คุณผู้ชายต้องรีบดึงขาเราไว้ กลัวเราตกรถ
ส่วนเจ้าสิงโตคงจะรำคาญเลยลุกขึ้นนั่งมองมาที่รถเรา ได้มองตาสิงโตชัด ๆ คือ
มันน่ากลัวมาก บอกได้เลยว่าเลือดเย็น
ดูสิงโตจนจุใจ
ขากลับออกมาซากควายเมื่อกี้ก็มีฝูงแร้งมาจิกกิน สงสัยเราจะตื่นเต้นมากไปเลยปวดฉี่
เราก็ถามคุณไกด์ว่า “มีห้องน้ำไม๊?? ปวดฉี่” คุณไกด์บอกให้รอซัก 15 นาที ไหวไม๊??
จากนั้นก็ขับรถออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ไปจนถึงทุ่งหญ้าโล่ง ๆ มีจอมปลวก วนรถ
3 รอบ คุณไกด์วิ่งไปหลังจอมปลวก บอกว่าปลอดภัยลงไปฉี่หลังจอมปลวกได้ ส่วนผู้ชาย
ยืนฉี่หลังรถ นาทีนั้นไม่กลัวคนเห็น แค่ขอทำธุระแบบสบาย ๆ
ไม่มีอะไรมาวิ่งไล่เป็นพอด้วยเหตุนี้เองเราเลยไม่ค่อยดื่มน้ำมาก
กลัวปวดท้องฉี่!!!
ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ร่วมกับคุณไกด์ และ คุณคนขับรถ ระหว่างแวะรอทำธุระส่วนตัวหลังจอมปลวก
ตลอดเวลาที่ทั้งนั่ง
ทั้งยืนอยู่บนรถ ต้องคอยเอามือจับโหนเป็นลิงเพื่อกันหัวโขก กันกระแทก ไหนจะต้องคอยระวังกล้องไม่ให้หล่น
ไหนต้องคอยถ่ายรูปเวลาเจอสัตว์ที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ คอยแย่งมุมถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ
ก็ไม่วายได้รอยเขียวช้ำมาตามตัว ผมที่รวบไว้ก็แข็งอยู่ทรง เพราะเจอทั้งลม และ
ฝุ่นตลบ โชคยังดีที่พอกครีมกันแดดเอาไว้แล้ว
ช่วงพักรับประทานอาหารกลางวัน
คุณไกด์และคุณคนขับ พาไปนั่งปิคนิคใต้ต้นไม้(นาน ๆ จะเจอต้นไม้ซักต้นนึง)
อาหารก็จะมี แซนวิส ไข่ต้ม กล้วยหอมครึ่งลูก น้ำผลไม้ คุ้กกี้ มันฝรั่งทอด และ
น้ำดื่ม กินเสร็จนั่งพัก ทำธุระส่วนตัว เก็บข้าวเก็บของ และ ไปกันต่อ ลืมบอกว่าเสบียงที่เราขนขึ้นรถมาด้วย
ไม่มีโอกาสได้หยิบมากินจ้า มัวแต่ตื่นตา ตื่นใจกับธรรมชาติจนลืม
การที่เราจะได้เจอสัตว์ต่าง
ๆ หรือ ได้ภาพถ่ายมุมสวย ๆ ดี ๆ หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคนขับรถด้วยเป็นสำคัญ
ซึ่งคนขับรถ ต้องหามุม กะระยะ หยุดรถ เคลื่อนรถ ให้ได้จังหวะพอดีทั้งกับสัตว์ และ กับคนบนรถ
ซึ่งโชคดีทริปนี้คุณคนขับรถ ทำได้เยี่ยมมาก ส่วนไกด์ก็ต้องคอยดูทาง
ส่องหาสัตว์ต่าง ๆ และ อธิบายรวมถึงตอบคำถามต่าง ๆ ให้กับนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ
ลำดับถัดไปเรามาดูเจ้าเสือชีต้าร์กัน
Cheetah เรามาเจอในวันที่ 2 ตัวแรกเจอแต่เช้าเลย นางนอนหลบอยู่ใต้พุ่มไม้
ตัวถัดมาใช้เวลาเกือบครึ่งวันกว่าจะหาเจอ
อันที่จริงมันก็อยู่แถว ๆ นั้นแหละ แต่สีมันกลมกลืนเลยมองเห็นยากหน่อย
ตัวนี้อยู่กับลูก ๆ อีก 3 ตัว น่ารักมาก ๆ ได้ถ่ายรูปใกล้ ๆ ตื่นเต้นจัง
ตัวสุดท้ายของทริปนี้
เราเป็นคนเห็นก่อนในระยะ 800 เมตร ตอนแรกไม่แน่ใจว่าคือตัวอะไร แต่สัตว์ใหญ่แน่ ๆ
เลยบอกให้คนขับรถไปใกล้ ๆ ไกด์สามารถบอกได้ว่าเป็น cheetah ตั้งแต่ระยะ 500 เมตร
เราเข้าไปจอดรถถ่ายรูปใกล้แบบเอื้อมมือถึง นางนอนผึ่งแดดผึ่งลมอยู่บนโขดหิน
สังเกตที่มุมปาก ยังมีสีแดง ๆ ติดอยู่เลย แสดงว่าเพิ่งจะกินอิ่มมาแน่ ๆ
ว่าแล้วก็รัวชัตเตอร์จนจุใจ ก่อนจะออกเดินทางต่อ
สัตว์อีกชนิดหนึ่งที่คุณไกด์บอกว่าโคตรอันตราย นอกเหนือจาก ควายป่าแอฟริกัน
แล้ว ก็ยังมี ช้างป่าแอฟริกัน ทำไมถึงอันตราย คุณไกด์อธิบายว่า สัตว์อื่น ๆ เสือ
สิงโต ถ้ามันไม่หิว และเราไม่ซวยจนเกินไป มันจะไม่ทำร้ายคน แต่สำหรับ ควายป่า และ
ช้างป่า มักจะพุ่งเข้าชาร์จคน ทำให้บาดเจ็บ และ ถึงตายได้
แต่ถึงอย่างงั้นเราก็ยังตามถ่ายรูปมันอยู่ดี สวยงามและน่ารักมาก
วันแรกเราเข้า Park
เช้า 6:30 น. ตระเวนขับรถไปทั่ว ด้วยความเร็ว 20 – 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เที่ยวดูสัตว์ต่าง ๆ จนกระทั่ง 4 โมงเย็นกลับเข้าแคมป์ อาบน้ำ พักผ่อน รออาหารเย็น
ซึ่งจะมีรายการแจ้งไว้บนกระดานเมนูประจำวัน (อร่อยทุกวัน)
หลังอาหารเย็นเราจะมี
กิจกรรมรอบกองไฟ ณ ลานข้าง ๆ reception&bar โดยจะมีไกด์กรุ๊ปเรา หรือ
จากกรุ๊ปอื่น ๆ รวมถึงคนท้องที่ (ชาวมาไซ) ที่ทำงานในแคมป์ และ
นักท่องเที่ยวที่พักในแคมป์ มานั่งพูดคุย แลกเปลี่ยน ซักถาม เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับท้องถิ่น รวมถึง game drive ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
อยากเห็นอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ พร้อมกับนัดหมายเวลาในวันถัดไป ฯลฯ
ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน
วันที่ 2 เราเห็น ไฮยีน่าทั้งหมด 3 ตัว
ตัวแรกช่วงเช้ามันกำลังวิ่งอยู่ไกล ๆ เราทันได้ถ่ายรูปมันหลบอยู่ในพุ่มไม้ แต่จะระยะไกลหน่อย
ตัวที่ 2 มันยืนขวางถนนช่วงบ่าย ๆ พอเข้าไปใกล้มันก็วิ่งหนี ส่วนตัวสุดท้าย
เราเป็นคนเจอมันอีกแล้ว ในจังหวะที่รถขับผ่านขอนไม้แห้ง
เราเหลือบไปเห็นหูไฮยีน่าขยับ เลยบอกรถให้เข้าไปใกล้ ๆ พอเข้าใกล้มันก็กระโดดออกมา
ในปากยังคาบของกินอยู่ ตลกมาก แถมหันมามองค้อนเราก่อนจะวิ่งหนีไป
มีน้องคนนึงบอกว่าเสียงหัวเราะของไฮยีน่า เหมือนกับเสียงหัวเราะของคน อันนี้ลองเปิดฟังในยูทูปแล้วจริง
ยิ่งตลกไปกันใหญ่
ยังไม่จบ แต่ สงสัยโพสจะยาว ภาพจะใหญ่เกิน ขอยกเรื่องหมู่บ้านมาไซ ไปไว้ในอีกตอนนึงนะคะ