Saturday, March 21, 2015

ภาคจบ : ปิรามิดโบราณ Teotihuacan,Mexico

จาก post ที่แล้ว บ่นว่าเดินดูปิรามิด ดูซากปรังหักพังโบราณจนเหนื่อย ถึงแม้จะแอบขี้โกงนั่งรถกะป้อน้อย ลัดไปลัดมาแล้วก็ยังไม่หายเหนื่อย อาจจะเป็นเพราะเราหิวก็ได้ ว่าแล้วก็ขอตัวแว่บไปหาอะไรกินดีกว่า

ประตูทางออกแต่ละทาง จะมีป้อมยามเล็ก ๆ และรั้วกั้นไว้ หากใครไม่ได้เข้ามาทางประตูใหญ่ก็มาซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ป้อมยามเล็กนี้ได้ ข้างนอกรั้วจะมีเด็กเชียร์แขกของร้านอาหารต่าง ๆ มายืนรอที่ริมรั้ว พอเห็นนักท่องเที่ยวคนไหนทำท่าอยากหาอะไรกิน เค้าก็จะเดินเข้ามาหาพร้อมกับเมนูอาหารแผ่นอย่างใหญ่พร้อมมีรูปภาพอาหารบางอย่างในนั้น ถ้าตกลงโอเคกันแล้ว เค้าจะพาเราเดินออกไปขึ้นรถแล้วขับพาเราไปที่ร้านอาหาร 

พอถึงร้านอาหาร (อารมณ์คล้าย ๆ ร้านอาหารตามสั่งบ้านเรา)ก็จะมีเมนูหน้าตาเดียวกันกับที่เด็กเชียร์แขกเอาให้ดูเลยแต่จะมีรูปเยอะกว่า ด้วยความที่อ่านไม่ออกอ่ะนะ เราก็เลือกสั่งอาหารที่เรารู้จักและเคยกินมาก่อนบ้างดีกว่า เพื่อความปลอดภัย





รอไม่นานอาหารมาแล้วจ้า อาหารเม็กซิกันนี่นะ พอเราสั่งอาหารเสร็จ เค้าจะมีแผ่นแป้งทอด กรอบ ๆ คล้าย ๆ แผ่นมันฝรั่งแต่เป็นแป้ง มาพร้อมกับ guacamole(กัวคาโมเล) ซึ่งก็คือ อะโวคาโด้บดผสมพริก,หอมหัวใหญ่สับ,ผักชีซอย แล้ว ปรุงรสด้วย เกลือ กับ น้ำมะนาว(แซ่บมากๆ) เอาไว้จิ้มกินกับแผ่นแป้งทอด อร่อยเหลือหลายมาก แต่บางร้านก็จะเสริฟมากับ Salsa ซอส บางร้านมีมาให้ทั้ง 2 ซอส เอาไว้ให้ลูกค้ากินเรียกน้ำย่อยระหว่างรออาหารจานหลัก ก่อนเดินทางมาเที่ยวเม็กซิโก ได้รับคำแนะนำมามากมายเรื่อง "น้ำดื่ม" ประมาณว่า อย่าดื่มน้ำซี้ซั้ว น้ำประปาดื่มไม่ได้ ไม่สะอาด บลา บลา บลา.....โอเคนะเพื่อความปลอดภัยสั่งน้ำอัดลม+เบียร์เลยค่ะ ha~ha






จานแรกของเราเอง ไข่มดผัดสมุนไพร+ถั่วบด+อะโวคาโดบด




จานนี้ของคุณชาย จำได้ว่าสั่งเนื้อย่างซอสอะไรซักอย่าง



อาหารเม็กซิกันมักจะมีผักมาด้วยเสมอ และ กินถั่วมากกว่าข้าว(ขนาดหุงข้าวก็ยังต้องผสมถั่วดำ,ถั่วแดงลงไปด้วย)นอกจากนี้ยังมีแผ่นแป้ง Tortilla(แป้งขนมปังแผ่นบาง ๆ)ตักทุกอย่างลงในแผ่นนี้แล้วห่อเข้าปากไปเลย บางจานก็จะมีกล้วยปิ้งฝานเป็นชิ้น ๆ มาให้ด้วย แต่ที่แปลกที่สุดก็คงจะเป็น "ใบกระบองเพชรย่าง" อันที่จริงเขาเอาไปดาดกะทะร้อนเฉย ๆ(ใบดำ ๆ โรยหน้าด้วยชีสที่อยู่ในจานรูปข้างบน) รสชาติอย่าให้พูดถึงเฝื่อนลิ้นมากเลยไม่อร่อย เวลาทานอาหาร เค้าจะมีซอสมาให้เหยาะใส่ด้วยนะมีทั้งซอสแดง,ซอสเขียว เรียกตามสี แต่ว่ารสชาติออกเปรี้ยวเหมือนกันหมดทุกซอสเลยอาจจะต่างกันแค่เผ็ดมากน้อยเท่านั้นเอง






ท้องอิ่มแล้ว ขอให้น้องเชียร์แขกขับรถมาส่งที่ประตู 5 โชว์บัตรเดิมให้ จนท.ดู บอกเค้าว่าออกไปกินข้าวมา จนท.ก็ให้กลับเข้ามาเดินต่ออย่างง่ายดาย

เดินเลาะกลับมาทางปิรามิดพระอาทิตย์ แล้วยืนคิดแบบใช้สติซักพัก ความสูงโดยประมาณ 65.6 เมตร เชียวนะ เลยตกลงใจว่าไม่ควรปีนขึ้นไปดีกว่าเดี๋ยวหน้ามืดตกลงมาตายจะไม่คุ้มกัน

ว่าแล้วก็เดินวน ๆ ดูรอบ ๆ ดีกว่า **แต่ถ้าใครมีโอกาสปีนควรปีนนะ เพราะปิรามิดเก่าแก่ในหลาย ๆ ที่ไม่อนุญาตให้คนปีนขึ้นไปแล้ว คิดว่าที่นี่อีกไม่นานคงปิดไม่ให้คนขึ้น เพราะได้ข่าวมาว่ากลิ้งตกลงมาตายปีนึง ๆ ก็มากอยู่**





ฐานรอบ ๆ ปิรามิด



รูปปั้น สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีต




ระยะไกล ๆ คนตัวเท่ามดเลย



ใคร อยากปีน เชิญค่ะ แต่มีราวจับแค่อันเดียวนะเป็นช่วง ๆ




เดินอ้อมมาอีกด้านก็จะมีซากโบราณอีก








ปิรามิดพระอาทิตย์ ตั้งอยู่ระหว่าง ปิรามิดบูชายัญ และ ปิรามิดแห่งดวงจันทร์ โดยมี the Avenue of the Dead หรือถนนแห่งความตายพาดผ่าน ซึ่งถนนเส้นนี้ไปสิ้นสุดที่ปิรามิดแห่งดวงจันทร์ 









เชื่อกันว่า ในยุคนั้นปิรามิดพระอาทิตย์ตั้งอยู่ใจกลางเมือง จะเห็นได้ว่ามีซากปรักหักพังของบ้านเมืองกระจายอยู่รอบ ๆ ปิรามิด









ภาพถ่ายจากอีกด้านของปิรามิด จะเห็นว่ามีบางส่วนผุกร่อนไปบ้างแล้ว



กะจะได้ภาพสวย ๆ 2 พ่อลูกนี้ดันโผล่ขึ้นมา



ภาพนี้คือเดินออกมาแล้วเลยมายืนถ่ายระยะไกลให้ดู ปิรามิดพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นปิรามิดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก



จบทริป เที่ยว 1 วันในเม็กซิโก เดินไปขึ้นรถบัสกลับบ้านตามจุดที่นัดหมาย แล้วนั่งรถกลับเข้าเมือง ขากลับรถโล่งมากมาจนถึงใกล้ ๆ เมืองก็เริ่มมีการขายตั๋วผี และ จอดรับคนข้างทางขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ จนเต็ม มีจอดให้คนลงเป็นระยะ ๆ แล้วเราก็กลับไปที่จุดเริ่มต้นที่เรามาเมื่อเช้านี้ แล้วก็เรียก Taxi กลับโรงแรมอีกที เพลีย เดินมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว

ประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศที่สวยงาม อาหารอร่อย และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามอีกมากมาย รวมถึงผู้คนเป็นมิตรดี อุปสรรคเพียงอย่างเดียวที่เจอนี่คือ ภาษา และ บางพื้นที่ไม่ค่อยจะปลอดภัยซักเท่าไหร่ แต่ทุก ๆ ที่ท่องเที่ยวที่ได้ไปเยือนประทับใจทุกที่

Thursday, March 19, 2015

เที่ยวปิรามิดโบราณ Teotihuacan,Mexico

ช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่แถบทวีปอเมริกา หนึ่งในประเทศที่ได้ไปเยือนแล้วประทับใจมาก ๆ ก็คือ "ประเทศเม็กซิโก" (อันที่จริงประทับใจในทุกที่ ๆ ได้ไป)เพราะนอกจากสภาพอากาศจะอบอุ่นแล้ว ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม และ น่าสนใจอีกมากมาย

วันนี้ว่าง 1 วันเลยจัดทริปไปเที่ยวเมืองโบราณ Teotihuacan (เตโอติอัวกั้น)<<หูฟังมา คิดเอาเองว่าออกเสียงประมาณนี้แหละ ภาษาสแปนิช ไม่เคยได้ร่ำเรียน หูไม่กระดิก แค่ใช้ชีวิตเลาะเที่ยวที่นี่ได้ก็นับว่าเริ่ดแล้ว

เริ่มจากเรียก Taxi ที่โรงแรมให้ไปส่งที่สถานีรถบัส ต่อจากนั้นก็ซื้อตั๋วรถบัสแบบไป-กลับแล้วไปรอขึ้นรถที่ชาญชลา ตอนซื้อตั๋วเลือกเบอร์ที่นั่งอย่างดี แต่ตอนขึ้นรถคือ นั่งกันตามใจฉัน ใครอยากนั่งตรงไหนก็นั่งไปเลย เราก็เลยต้องตามน้ำ พอรถออกแล้วที่นั่งเหลือ มีแวะขายตั๋วผีไปตามทางด้วยจนคนเต็มได้อารมณ์ Local สุดๆ (รูปตอนอยู่บนรถไม่มีนะculture shockอยู่)



ก่อนออกประตูทางออกที่ 5

วันนี้อากาศเย็นสบาย ฝนตกปรอย ๆ ทั้งวัน พื้นแฉะบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าเดินแดดร้อน และ เนื่องจากพื้นที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมาก อากาศก็เบาบางกว่าพื้นที่ที่ต่ำกว่าหน่อย เราเลยต้องเดินไปหอบไป หายใจไม่สะดวก (ไม่ใช่เพราะแก่นะ)


ลงรถมาก็เดินตามก้นชาวบ้านเค้าไปนะคะ อ่านป้ายไม่ออกก็อย่าแตกแถว พอถึงทางเข้า จ่ายเงินค่าเข้าชมแล้วให้ถ่ายรูปแผนที่เอาไว้ด้วยกันหลง เพราะเค้าไม่แจก จะเห็นได้ว่ามีทางเข้าออกได้ถึง 5 ทาง แต่ส่วนมากนักท่องเที่ยวก็จะเข้ามาตรงทางเข้าหลักที่เราเข้ามานี้

แผนที่เป็นกระดาษแปะไว้บนป้ายอีกที


พอได้แผนที่แล้วก็เริ่มออกเดินเลยค่ะ อากาศเย็นสบายมีลมพัดมาเป็นระยะ ๆ วันนี้โชคดีด้วยที่คนไม่พลุกพล่านเดินเที่ยวสบายๆ


Teotihuacan เป็นเมืองโบราณ อยู่ห่างจากเม็กซิโกซิตี้,เมืองหลวง ไปทางทิศเหนือ ประมาณ 40km. ชื่อเมืองมีความหมายว่า "สถานที่เกิดของพระเจ้า" ซึ่งชาวเมืองมีความเชื่อว่า "พระเจ้าคือผู้สร้างโลก" Teotihuacan เป็นเมืองโบราณสถานที่สำคัญทั้งทางด้านสถาปัตยกรรม และ ทางด้านมานุษยวิทยา โดยมีปิรามิดเก่าแก่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในยุค pre-Columbian Mesoamerican ส่วนตัวเมืองถูกสร้างขึ้นราว ๆ 100ปีก่อนคริสตกาล และ มีอายุอยู่จนถึงช่วง 250ปีหลังคริสตกาล หรือราว ๆ ศตวรรษที่ 7 และ 8

Adosada Platform

ทดลองปีนที่นี่เป็นที่แรก ตอนขึ้นไม่เท่าไหร่ แต่ตอนลงเสียวมากกก



Temple of the Feathered Serpent



Temple of the Feathered Serpent คือ"ปิรามิดบูชายัญ" ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของปิรามิดในโบราณสถานแห่งนี้ ซึ่งในยุคนั้นมีการใช้ทั้งคน และ สัตว์ในการบูชายัญ


การใช้ร่างคนในการบูชายัญ จะใช้ร่างกายอุทิศเพื่อ ขยายสิ่งปลูกสร้าง และ การก่อสร้าง โดยใช้วิธีการแตกต่างกันออกไป เช่น ตัดหัว,ควักหัวใจ,ทุบหัว หรือ การฝังทั้งเป็น ซึ่งเหยื่อที่ใช้ในการบูชายัญนี้ จะเป็นศัตรูที่จับมาได้ในระหว่างการสู้รบ การบูชายัญนี้ ชาวเมืองเชื่อว่าจะทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป


การนำสัตว์มาใช้บูชายัญ ความเชื่อตามตำนานเก่าแก่ว่าสัตว์เป็นตัวแทนเสริมสร้างพลัง และความแข็งแกร่งของนักรบ โดยวิธีการบูชายัญจะมีทั้งการฝังทั้งเป็น หรือ การนำสัตว์ไปจองจำไว้  

สัตว์ที่ใช้ในการบูชายัญ ได้แก่หมาป่า,เสือภูเขา,เหยี่ยว,นกอินทรีย์,นกฮูก และ งูพิษ อ่านถึงตรงนี้คงรู้สึกสยองไม่น้อย แต่นี่แหละคือเสน่ห์ของโบราณสถานหล่ะ ลึกลับ น่าค้นหาดี 

พอปีนขึ้นไปบนฐาน adosada platform อีกด้านก็จะเห็น ปิรามิดบูชายัญนี้ เสียดายใช้กล้องถ่ายโหมดพาโนรามาไม่เป็น รูปเลยเลยออกแยกมาเป็นส่วน ๆ 3 รูปแบบนี้


เดินไปดูอย่างอื่นบ้างดีกว่า

ถนนที่เราเดินอยู่นี้มีชื่อเรียกว่า "The Avenue of the Dead"

เป็นถนนเส้นเดียวที่ตัดผ่านทั้ง 3 ปิรามิด



ระหว่างทางเดินบน"เส้นทางแห่งความตาย"

จะมีพ่อค้าแม่ค้าเอาตุ๊กตา หรือสิ่งของที่ขายมาวางล่อนักท่องเที่ยวไว้

พอเราเดินเข้าไปดูเค้าก็จะเดินเขามาเสนอขายของให้เรา




เดินเหนื่อยมาก แอบขึ้นรถขับอ้อมไปด้านหลังปิรามิดพระอาทิตย์ถ้าให้เดินจนทั่วงานนี้มีตาย!!!


รถพาขับอ้อมออกไปข้างนอกเฉยเลย




โบราณสถานแห่งนี้กินเนื้อที่ประมาณ 83ตร.กิโลเมตร นับเฉพาะที่ขุดเจอนะ เพราะงั้นเราจะไม่เสียเวลาเดินให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เลยโดดขึ้นรถบริการนักท่องเที่ยว สภาพรถเหมือนเครื่องยนต์ดัดแปลงมาจากรถอีแต๊กขนฟางแล้วเอามาต่อพ่วงเป็นขบวนยาว ๆ เหมือนรถไฟที่วิ่งพาเด็ก ๆ นั่งวนไปรอบ ๆ ศูนย์การค้า เสียค่าขึ้นด้วยนะ


จากนั้นรถพาวิ่งอ้อมออกไปโดยจะจอดตามจุดสำคัญต่าง ๆ อยากลงตรงไหนลงได้เลย ทีนี้นั่งจนรถวิ่งอ้อมมาถึงบริเวณของ "Pyramid of the Moon"(ปิรามิดแห่งดวงจันทร์)ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับทางออกหมายเลข 4 เราก็ออกมาเดินสำรวจกันต่อไป

เดินเที่ยวไม่สนใจฟ้าฝนกันเลย อากาศดีมาก ๆ ขอบอก หายใจเข้าแล้วชื่นใจ


ระหว่างทางต้องปีนขึ้นปีนลง บางครั้งเจอพื้นดินเฉอะแฉะ


มีป้ายห้ามแอบมุดเข้าไปข้างใน



Teotihaucan เป็นเมืองใหญ่ และ มีความเจริญรุ่งเรืองทางศาสนาเป็นอย่างมาก คาดว่ามีประชากรอาศัยอยู่มากถึง 125,000 คนเลยทีเดียว

ที่พักอาศัยของชนชั้นสูงมีการสร้างเป็นอพาร์ทเม้นหลายชั้น ตกแต่งด้วยจิตรกรรมผาผนัง และ มีหลายครอบครัวอยู่ร่วมกันประมาณ 16-18 ครอบครัวในอพาร์ทเม้นเดียวกัน

ใครมาเที่ยวไม่ต้องแอบมุดเข้าไปดูข้างในเพราะมี จนท.คอยยืนแอบอยู่ พอทำท่าเข้าใกล้เขตหวงห้ามเท่านั้นหล่ะ จนท.เดินมาปรากฎตัวทันที ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากไหน


เดินขึ้น เดินลงบันได ไต่หินกันต่อไป


ซากที่อยู่อาศัยของคนสมัยก่อน


ดูแล้วเห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในยุคนั้นเป็นอย่างมาก


เดินไปเรื่อย ๆ ไม่เหนื่อย แต่หอบเลย หายใจลำบาก อากาศเบาบาง












ใกล้แล้ว

ปิรามิดแห่งดวงจันทร์














เดินหลบน้ำ หลบหลุมไปเรื่อย ใกล้ถึงแล้วสินะ



ใกล้เข้าไปอีก พอถึงตอนนี้มีคนถามว่า "อยากปีนขึ้นปิรามิดไม๊??" โถ...สังขาร เดินข้างล่างยังจะตาย ตอนเดินเข้ามาปีนแค่แพลตฟอร์มยังเกือบหน้ามืดเป็นลม ถ้าปีนขึ้นปิรามิดนี้ คงได้กลิ้งตกลงมากันพอดี







ว่าแล้วก็เดินเลี้ยวออกทางด้านข้าง ปิรามิด ไม่ไหวแล้วพอก่อน ขอตัวไปหาอะไร กินรองท้องก่อน ว่าแล้วก็เก็บภาพมุมด้านข้างปิรามิดแห่งดวงจันทร์มาฝากนะคะ เดี๋ยวตอนต่อไปจะเป็นตอนจบกับปิรามิดแห่งดวงอาทิตย์แล้ว 

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ



Saturday, March 14, 2015

Sunday Tour @ Tongeren,Belgium (afternoon & evening)

ป้ายทางเดินขึ้นเขา

ความเดิมตอนที่แล้ว เราไปเดิน antique market กันช่วงเช้า แล้วกลับไปซดมาม่าร้อน ๆ พอตกบ่ายเราก็ออกเดินทางโดยรถยนต์ มุ่งหน้าไปยังเมือง Malmedy กัน ซึ่งอยู่ห่างจาก Tongeren เมืองที่เราอยู่ไปประมาณ 70 - 80 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ ๆ 1 ชม. แต่รู้สึกเพลินเพลินมาก ๆ เพราะวิวข้างทางสวยสุด ๆ ยิ่งถ้าช่วงมีหิมะตกขาวไปหมด ให้นึกถึงหนังเรื่องนาเนีย เลยค่ะ บรรยากาศสวยแบบนั้นจริง ๆ


จุดหมายเราอยู่บนภูเขานี้ค่ะ มีโรงแรม+ร้านอาหารมากมายตามทางขึ้นเขา ตอนนี้เราจะเข้าไปกินวาฟเฟิ้ลกัน ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ ตั้งอยู่บนผาเขา มองออกนอกหน้าต่างไปจะเห็นวิวเมืองสวยมาก ตอนนี้เราเข้าโซนภาษาฝรั่งเศสกันแล้วค่ะ เราว่าฟังแล้วสบายหูกว่าภาษาดัชต์(เสียแรงร่ำเรียนมาตั้ง 3 ปี แต่ก็ส่งความรู้คืนครูบาอาจารย์ไปตั้งแต่ปีแรกที่เรียนจบ)

น่าเสียดายไม่ได้ถ่ายรูปร้านอาหารมาด้วย คือ...ร้านแลดูผู้ดีมาก เลยต้องทำตัวมารยาทดี ไม่กล้ายกกล้องขึ้นถ่ายรูป และ คนก็เยอะ กลัวถ่ายไปติดหน้าคนแล้วจะมีปัญหาเพราะเราไม่ได้ขออนุญาต กินเสร็จก็ไปเดินออกกำลังกันต่อ ผู้คนประเทศนี้ชอบเดินเล่นในวันอากาศดี ๆ กัน เอาหล่ะ เราก็ไปเริ่มออกเดินกันที่จุดตั้งป้ายเลยค่ะ Go Go!!!


ผู้ร่วมทริป

และนี่คือโฉมหน้าคณะผู้ร่วมเดินทาง ดูสิคะ นี่มันทางเดิน up hill ชัด ๆ ทำไม?? ต้องมาพากันเดินต้านแรงโน้มถ่วงโลกด้วย!!! ตายแน่งานนี้

เดินไปได้ซักพัก เริ่มเหงื่อตก อากาศที่ว่าเย็น ๆ ตอนนี้แทบอยากจะเขวี้ยงเสื้อกันหนาวทิ้ง แต่วิวรอบ ๆ สองข้างทางสวยมาก ๆ (สวยจนไม่รู้จะบรรยายยังไงดี)

อ่อ ตรงข้างทางที่เราเดินขึ้นมันจะมีโรงนาเก่า ๆ เกือบพังตั้งอยู่ด้วย พอดีไม่สวยเลยไม่ได้เก็บรูปมาฝาก

ตามสองข้างทางที่เราเดินจะมีต้นไพน์ (Pine Tree) ต้นไม้ที่เขียวตลอดปีตลอดชาติ ไม่ว่าจะร้อนจะหนาว ขึ้นอยู่เต็มไปหมด มีทั้งแบบขึ้นเองตามธรรมชาติ และแบบปลูกขาย

หันกลับไปดูทางที่เราเพิ่งเดินผ่านมา
เดินมาไกลพอสมควร ทางเดินเริ่มเป็นทางราบแล้ว
(กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็อาจไปไม่ถึง)


เขียวไปหมด เห็นแล้วอยากเล็มหญ้าขึ้นมาทันที


ตรงนี้หิมะยังละลายไม่ทันหมดเลยนะ


ต้นไพน์ที่ปลูกไว้รอตัดขาย



เห็นแล้วนึกถึงสวนยางที่ไทยขึ้นมาเลย


ยังคงเดินกันต่อไปเรื่อย ๆ คิดซะว่าเป็นการเดินเผาผลาญไขมันในร่างกาย พอคิดได้อย่างนี้ก็สบายใจเดินต่อ แต่อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเหมือนว่ามีใครแอบจ้องมองเราอยู่ หันซ้ายหันขวา เลยไปเจอเจ้าถิ่นเข้าให้ surprise!!!!



น่ารักอ่ะ!!! เกิดมาพี่ไม่เคยเห็นตัวใหญ่ ๆ ใกล้ ๆ และ แบบตัวเป็น ๆ แบบนี้


ถ่ายรูปไว้อวดพ่อกับแม่ก่อน มองไปไกล ๆ อีกฟาก มีนอนเรียงรายอยู่เป็นสิบเลย แต่ไม่มีเขา สวย ๆ แบบตัวนี้เลย


แถมมีคนแอบกระซิบบอกอีกว่า "เค้าเลี้ยงเอาไว้กินคร๊า" โห...พอได้ยินนี่สลดเลย มันน่ารักอ่ะ กินไม่ลง คนที่นี่เค้ากินกระต่าย กินม้า กันด้วยนะ แต่เค้าจะเลี้ยงกันไว้เพื่อกินโดยเฉพาะเลย จะไม่มีการตั้งวงแล้วออกไปหาล่าน้องหมา น้องแมว ตามถนนหนทางมาทำเป็นกับแกล้มเหมือนในบางประเทศโดยเด็ดขาด!!!


เริ่มเจอผู้คน บ้างก็เอาม้ามาขี่เล่น บ้างก็ปั่นจักรยาน

(เราพลาดแล้ว ดันพากันเดินมา เลยช้ากว่าชาวบ้านเค้า)



ออกจากป่ามาแล้ว วิวอีกฟากของภูเขา สวยมาก ๆ



มองออกไปจะเห็นเขาอีกลูก ต้นไม้อย่างเยอะ หนาแน่นมาก


ซูมเข้าไป...บรรยากาศสวยงามอย่างกับในหนัง


ทีนี้เราจะวกกลับไปที่จุดเริ่มต้นที่เราจอดรถทิ้งไว้แล้ว ทางเดินก็จะเป็นทางลงเขาแล้วหล่ะทีนี้ ช่วงเดินลงเขาก็มาพบกับฝูงจักรยานวิบาก ปั่นลงเขากันแบบน่าหวาดเสียวมาก มีคนมาปั่นวิบากนี่เยอะมาก ๆ แอบส่องทะเบียนรถ มีมาจากทั้งเยอรมันนี เบลเยี่ยม สวิสเซอร์แลนด์ ฯลฯ

เค้าบอกว่าถ้าเป็นช่วงหิมะตกคนก็จะมาเล่นสกีแทน แต่ตอนนี้เป็นจักรยานปั่นลงเขา เวลาลงไปถึงตีนเขาแล้ว ตอนขากลับขึ้นมาก็จะมีที่ลาก ๆ ขึ้นมาตรงจุดสตาร์ทยอดเขาอีกที


จากมุมสตาร์ท คือจุดนี้ เรื่อยยาวลงไปจนถึงตีนเขา


นักปั่นส่วนมากจะเป็นหนุ่ม ๆ ไปยันกลาง ๆ คนก็มี ใส่อุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ แบบ จัดเต็ม แต่หลังจากยืนดูอยู่ซักพัก ก็คิดในใจว่า ถ้ามีลูกมีหลานคงไม่อนุญาตให้เล่นอะไรแบบนี้แน่นอน คนปั่นสนุก แต่คนดูหัวใจจะวาย 



พี่ใจไม่ถึง บอกเลย


จบทริปต่างเมืองแล้ว ก็เดินทางกลับบ้านที่ Tongeren คราวนี้มาเดินในเมือง แต่เป็นคนละฝั่งจากตลาด antique market ในช่วงเช้า และเนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ในเมืองจะไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านมากเท่าวันเสาร์

Tongeren วันอาทิตย์

เพิ่งผ่านช่วงเทศกาลขบวนพาเหรดมาหมาด ๆ ธงพาเหรดยังประดับอยู่เต็มสองข้างทาง


ถนนแบบอิฐเรียงเป็นก้อน ๆ

เดินเลาะเข้าสู่ลานใจกลางเมือง




ใจกลางเมืองจะเป็นลานกว้าง ๆตรงกลาง 

แล้วมีร้านอาหารเครื่องดื่มอยู่รอบ ๆ



Statue of Ambiorix

รูปปั้น Ambiorix ชายผู้ต่อสู้กับทหารโรมัน

(อารมณ์คล้าย ๆ บางระจัน มาเต็ม ๆ แต่ขานี้ลุยเดี่ยว)


The Basilica

อีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญ เก่าแก่ และ สวยงาม

หาอ่านประวัติได้ในวิกิพีเดีย(ออกแนวขี้เกียจค้นคว้าอธิบาย)



ผู้คนออกมานั่งดื่มกิน กันเยอะแยะเลยเพราะวันนี้อากาศดีว่าแล้วก็ขอแว่บไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า 



อิ่มแล้วก่อนกลับบ้านค่ำนี้ขอเก็บอีกซักภาพก่อนกลับบ้านอากาศเริ่มเย็นลงอีก คนเรื่มหายเข้าไปนั่งในร้าน


ทางเดินระหว่างกลับไปที่จอดรถ เงียบเหงา ไร้ผู้คน จบทริปในวันอาทิตย์นี้ อิ่มจังตังค์อยู่ครบ มีเจ้ามือตลอดรายการ ได้เห็นบ้านเมืองสวย ๆ สองข้างทางบรรยากาศดี ๆ


ตามทางที่เดินจะมีร้านขายช็อคโกแลตด้วยนะ ไว้มาซื้อหาเป็นของฝากกันได้ แต่ร้านที่เข้าบ่อยสุดรอบนี้คือ ร้านกระเป๋าค่ะ มีออเดอร์ Longchamp มาเพียบเลย แอบซื้อให้ตัวเองด้วย 1 ใบ ha~ha

อ่อ ถ้าใครมาเที่ยวที่นี่อย่าลืมไปลองชิม หอยแมลงภู่อบกันนะคะ อาหารขึ้นชื่อเหมือนกัน น้องหอยตัวอวบมาก 



จบปิ๊งสำหรับวันนี้ เดี๋ยววันหน้ามีโอกาสจะพาไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ในเบลเยี่ยมกันนะคะ