Thursday, July 16, 2015

Kenya Diary บทที่ 1 : First Week in Kenya


@@เมื่อฉันบอกทุกคนว่าจะย้ายไปอยู่แอฟริกา@@

**พ่อ แม่ เพื่อน พี่น้อง น้า รวมทั้ง ตัวเอง ไม่เคยมาแอฟริกามาก่อน(เคยเห็นแค่ในทีวี)**


มาตามดูกันว่าชีวิตในแอฟริกาจริง ๆ แล้ว มันเป็นอย่างที่ทุก ๆ คนคิดรึเปล่า


ตามติดชีวิตมาดาม Kenya Diary
บทที่ 1 : First Week in Kenya

              ตอนพักเปลี่ยนเครื่องที่ซูริค, สวิสเซอร์แลนด์ พยายามมองออกไปรอบ ๆ ตัว แล้วเกิดอาการปลงในใจ ประมาณว่า นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ชีวิตแม่บ้านอินเตอร์อย่างเราจะได้พบเจอกับความศิวิไลซ์ พอขึ้นเครื่องบินเริ่มการเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง ไนโรบี, เคนยา รู้สึกตื่นเต้นบอกไม่ถูก เพราะ ในชีวิตนี้ ไม่เคยใฝ่ฝันว่าอยากจะมาเยือนทวีปแอฟริกาเลย ไม่เคยอยู่ในความคิด แต่ไหน ๆ คุณผู้ชายตัดสินใจย้ายงานมาที่นี่แล้ว เราก็จำเป็นต้องตามเค้ามา ตลอดเวลาก่อนเครื่องจะ landing ก็พยายามนึกคิดถึงแต่สิ่งดี ๆ โลกสวยเข้าไว้


              ลงเครื่องมาใกล้ ๆ พลบค่ำ อากาศเย็นสบาย บรรยากาศคล้าย ๆ สนามบินดอนเมือง แต่ไม่พลุกพล่านเท่าไหร่ เดินเข้าตัวอาคารปุ๊บ จะต้องเข้าแถวสแกนอุณภูมิร่างกายก่อนจะผ่านไปยังด่าน ตม. ซึ่ง....ให้ความรู้สึกคล้าย ๆ กับการรอต่อแถวซื้อตั๋วขึ้นรถทัวร์ที่หมอชิตเปี๊ยบเลย รอนานมาก เพราะ มีบางคนต้องจ่ายค่าธรรมเนียม แล้ว จนท.ก็งมเขียนบิลเงินสดอยู่ รอเกือบ 30 นาที กระบวนการเข้าเมืองก็แล้วเสร็จ ถัดมาก็มารอรับกระเป๋า รถเข็นกระเป๋าใช้ได้ฟรีไม่เสียตังค์ รับกระเป๋าเสร็จเข็นทุกอย่างมาที่ทางออก ก็มีคนขับรถที่นัดกันไว้แล้วมายืนถือป้ายรอรับ ออกจากสนามบินมาได้ก็มุ่งหน้าไปสู่บ้านพักที่ทาง สนง.ของคุณผู้ชายได้จัดหาไว้ให้



              ตลอด 2 ข้างทางที่นั่งรถผ่าน ถนนมืดมาก ไม่มีไฟข้างทาง ไม่มีทางเท้า คนเดินอยู่ตามริมถนน ถ้ามีรถขับมาใกล้หน่อยก็จะเดินเบี่ยงลงคูข้างทางไป อันตรายมากเพราะคนก็ตัวดำ ๆ เห็นได้ยากในที่มืด ๆ หนักไปกว่านั้น คนที่นี่นึกอยากจะข้ามถนนตรงไหนก็ข้าม บางช่วงมีสะพานลอย แต่ก็คงคล้าย ๆ สะพานลอยเมืองไทย ที่มีเอาไว้ติดป้ายโฆษณา ขายของ และ หลบแดด พอเข้าช่วงในเมืองหน่อยรถก็ติด ติดแบบวินาศสันตะโร ถนนที่นี่ส่วนมากเป็นถนนสวนกัน 2 เลน หลาย ๆ แยก ไม่มีสัญญาณไฟจราจร ใครจะหยุดใครจะไปต้องชิงดีชิงเด่นกันเอา ใครนึกสถาพไม่ออกให้นึกถึง ถนนทางหลวงชนบท ที่ห่างไกลความเจริญ คือ ตั้งแต่สร้างเสร็จคงไม่เคยซ่อมบำรุง หลาย ๆ เส้นทาง อย่างกับถนนโลกพระจันทร์ หลุม บ่อ เพียบ และ ถนนบางเส้นก็ยังเป็นถนนดินแดงอยู่เลย (แถวบ้านเรียกถนนขี้หินแห่)



              เกือบ 2 ทุ่มครึ่ง ถึงที่พัก มีมัสยิดอยู่ใกล้ ๆ (ตี 5 ครึ่ง มีลุกมาละหมาดออกไมค์ ตื่นนอนกันแบบไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุกเลย เสียงดัง ฟังชัด) ขนของลงเสร็จ คนขับรถพาออกไปซื้อของกินของใช้ ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ ๆ ชื่อ Nakumatt ขายสากกะเบือ ยัน เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ คล้าย ๆ กับ โลตัส,บิ๊กซี บ้านเรา ซื้อของแบบรีบ ๆ แต่ก็ยังได้ข้าวหอมมะลิไทย กับ ซอสแม็กกี้ ไข่ไก่ และ น้ำแร่ มาไว้กินกันตายไปก่อน เพราะจะต้องพักที่บ้านนี้ 2 วัน ก่อนจะย้ายเข้าบ้านที่จะได้อยู่จริง ซื้อของเสร็จกลับมาบ้านพักหลับ แล้วก็ตื่นมาตอนตี 3 คือ เจทแลค พร้อมกับอาการหิวมาก เลยจัดการหุงข้าว เจียวไข่กินซะเลย โชคดีที่แอบห่อเอาปลาร้าบองติดตัวมาด้วย 1 กระปุก(ไอเท็มพิเศษ) ช่วยให้เจริญอาหาร



              เนื่องจากรถติดสาหัส ที่ออฟฟิศคุณผู้ชายจะเริ่มออกจากที่พักตอนเช้าเวลา 6.30 น. เพื่อไปให้ทันเวลางาน และ หลีกเลี่ยงปัญหารถติด ทุกคนมีรถ แต่ทุกเช้าจะมีเพื่อนคนนึงอาสามารับเพื่อนคนอื่น ๆ ติดรถเพื่อไปทำงานด้วยกัน ประหยัด และ ไม่เหงา ขากลับก็กลับบ้านพร้อมกันอีกด้วย(หมดโอกาสเถลไถล^^)



               1 วันแรก เวลาหมดไปกับการนอน เน็ตไม่มี โทรศัพท์ไม่มี ทีวีไม่มี(แอบคิดในใจนี่คุกชัด ๆ) คงทำอะไรไม่ได้มาก นอนตื่นเย็นพยายามอาบน้ำ คือ ระดับน้ำไหลเอื่อยมาก แทบจะล้างสบู่ออกจากตัวไม่หมด งั้นเก็บผมไว้สระในโอกาสหน้าก็แล้วกันนะ(ทนต่อไปถึงแม้จะคันมากก็ตาม) ออกมาสำรวจบ้านต่อ คือ หนาว มีลมพัดเอื่อย ๆ เป็นช่วง ๆ อากาศที่นี่ช่วงกลางวันมีแดดจะอยู่ราว ๆ 20-26 องศาเซลเซียส พอตกกลางคืนอุณภูมิจะลดลง อยู่ระหว่าง 13-18 องศาเซลเซียส ทั้งพัดลม และ ฮีทเตอร์ จึงไม่จำเป็นสำหรับที่นี่



              วันนี้คุณผู้ชายกลับมาพร้อมกับซิมโทรศัพท์(ในใจคือถ้าไม่ได้เน็ตวันนี้หอบผ้าหนีกลับบ้านแน่นอน) แกะซิมใส่โทรศัพท์ปุ๊บชีวิตเริ่มมีความหมายขึ้นทันใด ใช้เครือข่ายของ Safaricom เน็ต 3G (เห็นติดป้ายโฆษณามาตั้งแต่สนามบินนู่นแล้ว) ทำการอัพเดทข่าวสารครอบครัวทันที คืนที่ 2 นี้ ก็ยังตื่นมาหิวมากตอนตี 3 อีกเช่นเคย อาบน้ำวันนี้หนักกว่าเมื่อวาน คือ นอกจากน้ำจะไหลเอื่อยแล้ว ยังเป็นน้ำเย็นจัดอีกด้วยนะ ต้องทำใจอาบ ๆ ไป นึกถึงสมัยไปเยี่ยมพ่อที่ค่ายทหารบนภูเขา ต้องอาบน้ำจากถังน้ำมันเก่าแล้วหนาวยิ่งกว่านี้อีก(แค่นี้ศรีทนได้ค่ะ)



              แพ็คของรอย้ายไปที่ใหม่ตอนเย็น ๆ เพื่อนผู้ใจดีอาสาพาขนของย้ายบ้าน ซึ่งก็ไม่ไกลจากที่เดิมมาก ที่นี่ก็จะเรียกว่า compound มีเพื่อน ๆ ที่ออฟฟิศคุณผู้ชายอาศัยอยู่ที่นี่บ้างแล้ว 2-3 คน เพิ่งจะย้ายมาเหมือน ๆ กัน เลยโชคดีได้หารค่าแท็กซี่ไป-กลับด้วยกัน ที่บ้านใหม่จะเป็นคล้าย ๆ ตึกอพาร์ทเม้น มีหลาย ๆ ยูนิต มีที่จอดรถ สวนหย่อมเล็กๆ ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ(เดาว่าไม่น่ามีใครกล้าลงไปว่าย) ล้อมรั้วสูง ด้านบนมีลวดหนามพันอีกที สลับกับพันลวดที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าไว้ด้วย ประตูทางเข้าใหญ่มีทางเดียวมีกล้อง มียามเฝ้าตลอด 24 ชม. จะเข้าจะออกต้องรอยามเปิดประตูให้ มาบนบ้านมีสัญญาณเตือนภัย มีการต่อเติมห้อง panic room ไว้ให้เราล็อคตัวเองไว้ข้างในเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน มีวิทยุสื่อสารให้เราไว้ติดต่อขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น และ รับฟังข่าวสารฉุกเฉินด่วนต่าง ๆ (สารภาพว่าใช้ไม่เป็น) และปุ่มนิรภัยแบบห้อยคอพกติดตัวได้ สาระพัด เอาเป็นว่า ใจชื่นขึ้นหน่อยเมื่อเห็นระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนาอย่างนี้



              ที่อพาร์ทเม้นก็จะมี ผจก.ตึก เราเรียกว่า caretaker ซึ่งจะเข้ามาดูแลว่าเราขาดเหลือ หรือ ต้องการอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับบ้าน เช่น หลอดไฟไม่ทำงาน, ปั๊มน้ำเสีย, ส้วมเต็ม ฯลฯ ให้บอก เขาจะดำเนินงานจัดการให้ หลังจากสำรวจบ้านเป็นที่เรียบร้อย ต่อมาเราก็สำรวจเพื่อนบ้าน เริ่มจากไปเยี่ยมยูนิตที่เพื่อนคุณผู้ชายอยู่ก่อน ดื่มกันนิดหน่อยแล้วก็เริ่มพูดคุยกัน เพื่อนย้ายมาก่อนเล่าให้ฟังว่า ช่วงย้ายมาแรก ๆ นั่งแท๊กซี่ไปทำงานเปิดกระจกรถไว้ แล้วเอากระเป๋าถือวางไว้บนตัก ซักพักก็มีคนวิ่งมาฉกกระเป๋า หนีหายไปเลยซะอย่างนั้น ไล่ตามก็ไม่ได้ด้วย(เวรกรรมแท้) ต่อมาก็เพื่อนคนเดิมนี่แหละ นอนหลับสบายอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงก๊อกแก๊ก ทันตื่นมาเห็นโจรกำลังหอบขโมยของในห้องกันใหญ่เลย จากนั้นเลยไม่ประมาท ล็อคห้องก่อนนอนทุกชั้นอย่างดี ฟังถึงตรงนี้จากที่เคยมั่นใจระบบปลอดภัยแน่นหนา ความเชื่อมั่นหดลงไปทันที เพื่อความแน่ใจเลยถามย้ำอีกทีว่า “ที่นี่หน่ะเหรอที่ขโมยขึ้นบ้าน” แล้วเพื่อนก็ตอบกลับมาว่า “ที่นี่แหละจ้า โหยมันมืออาชีพมากเลยนะเธอ มาแบบเงียบ ๆ ไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัวเลย แถมรื้อค้นหอบของไปได้เยอะมาก” (เอ่า....เวรกรรม จะรอดไม๊ตรู)



              กลับมาที่ยูนิตตัวเอง พนง.ทำความสะอาดกลับไปแล้ว แต่บ้านยังสกปรกอยู่ ก่อนกลับสัญญาว่า วันจันทร์จะกลับมาทำความสะอาดให้ใหม่ caretaker ก็กลับแล้ว ก่อนกลับบอกไม่ต้องห่วง “พร้อมอยู่” และแล้วก็ถึงช่วงเวลาพร้อมจะเข้านอน ปรากฎว่า ไม่มีผ้าปูที่นอน เอาแล้วไง(ไหนบอกว่าพร้อมอยู่วะ) จะให้นอนลงบนที่นอนเปล่า ๆ ดูจากสภาพที่นอนบอกได้เลยว่าคงจะคัน ร้อนถึงคุณผู้ชายต้องขอยืมผ้าปูที่นอนมาให้ คืนแรก ณ บ้านใหม่ผ่านไปด้วยดี



              ตื่นเช้ามาเพื่อนคนเดิมอาสาพาไปซื้อของกินของใช้เข้าบ้าน นับเป็นโอกาสดีที่จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตา mall แรกที่ไปคือ Village market ที่ห้างนี้จะมี Nakumatt เปิดอยู่ที่ชั้นล่าง(ปากท้องต้องฝากไว้ที่นี่แล้วสินะ) เดินเยื้องไปอีกทางจะมีร้านอาหารหลากหลาย indoor outdoor บรรยากาศดี มีร้านค้าขายของต่าง ๆ ทั้งประดับบ้าน ทั้งของที่ระลึก ทางเดินมีตกแต่งด้วยต้นไม้เป็นสวนหย่อมเล็ก ๆ เดินลึกเข้าไปข้างในจะมีร้านขายหนังสือ ร้านสวยมีหนังสือหลากหลายดี มีร้านขายเครื่องสำอางแมคด้วยนะ แต่ราคาแพงกว่าที่อเมริกาเท่านึง(โชคดีซื้อตุนมาเยอะ) ซื้อของใช้ที่ Nakumatt เสร็จแล้วเดินดูร้านค้าต่าง ๆ แล้ว ขากลับลงมาที่ Zucchini จะเป็นร้านขายผักสด ผลไม้ ดอกไม้ ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นของสด เราก็ซื้อผักผลไม้กันครื้นเครง มีร้านขายไอติมสีสันน่ากินมาก ๆ ส่วนร้านดอกไม้ มีดอกไม้สดดอกโต ๆ จัดเป็นช่อสวยงาม ขายแค่ช่อละ 10$ เอง(วันนี้ไม่มีมือจะถือของแล้วแต่วันหน้าต้องจัด)ซื้อของเสร็จเพื่อนส่งกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ จัดของเข้าที่แล้วไปนอนพัก เพิ่งจะสังเกตว่าข้างบ้านที่อยู่ จะมีต้นไม้ใหญ่ ๆ ขึ้นกั้นระหว่างตัวอาคารกับสนามฟุตบอล ทุกเช้า และ ทุกเย็น เสียงนกกาดังหนวกหูมาก ๆ คือมันเงียบ เลยเสียงดังฟังชัดทุกอย่าง(ทนไปซัก 3 คืน เดี๋ยวก็ชิน) สนามฟุตบอลข้าง ๆ ช่วงบ่ายจะมีเด็ก ๆ นักเรียน มาวิ่งเล่นไปจนถึงช่วงเย็น น่ารักมาก ๆ ไปแอบมองทุกวัน เด็กนักเรียนที่นี่ใส่ยูนิฟอร์มเหมือนเด็กที่บ้านเราเลย ผิดกันก็ตรงที่ชุดจะเป็นผ้าฝ้ายดิบสีมอ ๆ ดูน่ารักไปอีกแบบ



              เนื่องจากอากาศที่นี่ดีมาก ๆ ผด ผื่น สิว ฝ้า อาการแพ้ต่าง ๆ ที่เคยมี หลังจากย้ายมาอยู่ที่นี่ก็เริ่ม หายไป(ทาแป้งติดหน้ามากขึ้น) เสียแต่ว่าฝุ่นที่นี่เยอะเพราะถนนยังเป็นดินแดง ๆ ซะส่วนใหญ่ เวลาขับรถไป ตาม 2 ข้างทางจะมีคนเอากระถางต้นไม้ ดอกไม้ กล้าไม้ ตะกร้าสานต่าง ๆ มาวางขายตามริมทาง บางมุมสี่แยกมีขายอ้อย และ ข้าวโพดปิ้ง บางที่กลายเป็นตลาดผักผลไม้ย่อม ๆ เลย ผักดูสดสวยกว่าในห้างฯ(คุ้น ๆ ไม๊ เหมือนแถวบ้านเราเลย) โดยส่วนตัวแล้ว ปรกติจะกินกะทกรก(passion fruit) ไม่ได้เลย เพราะกลิ่นหอมแบบชวนเวียนหัว แต่กะทกรกที่เคนยาหอมคนละแบบ มีรสเปรี้ยวหน่อย ๆ อร่อยแบบควักกินสด ๆ ได้เลย ถัดมาที่ได้ลองคือ ส้ม น้ำเยอะมาก ๆ กินส้มซัก 2 ลูกเหมือนได้กินน้ำส้มคั้น ฉ่ำ และ หวาน นอกจากนี้ อะโวคาโด ยังถูกมาก ๆ และมีให้เลือกกินหลายสายพันธุ์ และ ผลไม้อื่น ๆ ที่ยังไม่ได้ลองกินอีกมากมาย ชีวิตเริ่มดูดีขึ้นมาแล้วใช่ไม๊?? เพราะมีของกินหลากหลายรอบตัวเชียว



              ตื่นเช้าขึ้นมาอีกวัน วันนี้จะมีคนมาทำความสะอาดบ้านให้จากเดิมที่ทำค้างอยู่ ครั้งนี้เป็นพนักงานชายคนเดิมแต่มากันแค่ 2 คน(คราวที่แล้วมาเป็น 10 แต่บ้านยังสกปรกเหมือนเดิม) จากการสังเกตการณ์ ในคราวก่อน คือ คนทำความสะอาดมีถังน้ำคนละใบ ผ้าคนละผืน ถือทำความสะอาดไปเรื่อยเปื่อย ทั้งวัน น้ำไม่มีเปลี่ยน ดำยังไงก็ดำอย่างนั้น เอาผ้าลงไปขยี้น้ำดำ ๆ แล้วเอาขึ้นมาถูต่อ (วิ่งออกไปร้องไห้แป๊บ) คราวก่อนทำใจเย็นปล่อย ๆ ให้เขาทำ ๆ กันไป เพราะอึ้งอยู่ แต่คราวนี้คงจะยอมไม่ได้ ต้องได้เดินกำกับทีละมุม พอน้ำเริ่มจะดำก็ได้ส่งสายตาบอกให้เปลี่ยนน้ำใหม่ เริ่มทำสะอาดตั้งแต่เที่ยงกว่า เสร็จตอน 4 โมงเย็น คือมันก็ไม่ถึงกับสะอาดถูกใจเราหรอกนะ แต่เราได้เห็นถึงความพยายาม คือเขาพยายามเช็ด ๆ ถู ๆ สุดฝีมือ แต่มันได้เท่านี้แหละ เลยให้ทิปค่าทำสะอาดไปคนละ 5$ เท่านั้นแหละ เขาดีใจมาก เอาผ้าถูมาถูพื้นเพิ่มให้อีกก่อนจะลากลับ(จะถูทำไม๊??? ผ้ามันอับแล้ว พอถูเพิ่มที่นี้พื้นเลยส่งกลิ่นอับตามผ้าด้วยเลย) แอบขำอยู่คนเดียวเบา ๆ ณ จุดนี้ ตกเย็นคุณผู้ชายกลับบ้านมาพร้อมกับบอกว่า เพื่อนผู้มีอุปการะคุณคนเดิม ได้ทำการจัดหาแม่บ้านมาช่วยทำงานบ้านให้ได้แล้ว จะพามาแนะนำตัวเย็นวันนี้ ตกเย็นเพื่อนมาพร้อมกับคุณแม่บ้าน ชื่อ โจเซฟีน ซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ก็สื่อสารภาษามือรู้เรื่องได้เป็นอย่างดี ตกลงมาทำความสะอาดที่บ้าน สัปดาห์ละ 2 วัน คือ อังคาร และ พฤหัสฯ 8โมงเช้า ถึง บ่ายโมงครึ่ง โจเซฟีน คิดค่าแรงวันละ 150 บาท(ย้ำว่า บาท) เพราะเธอทำอาหารไม่เป็น ทางคุณผู้ชายเลยตกลงให้วันละ 300 บาท แต่ต้องทำให้สะอาดเนี๊ยบ ๆ นะ วันถัดมาเริ่มงานได้เลย เย็นนั้นเราก็ออกไปซื้ออุปกรณ์ทำความสะอาดมาเตรียมไว้ให้แม่บ้านทันที



              ก่อนนอนคุณผู้ชายบอกเรื่องการงานในบ้าน ธุรกิจ จิปาถะ ให้เธอจัดการนะ เธอเป็นมาดามบ้านนี้แล้ว ในใจงงพร้อมกับทำหน้า แบบ “นี่กูต้องทำด้วยเหรอวะ”(ปรกติล่องลอย โลกสวย) คุณ ผช. เลยอธิบายต่อ “อ้าว....เธอไม่สังเกตเหรอว่าทุกคนเค้าเรียกเธอว่ามาดาม จะหยิบจับทำอะไรเค้าก็ต้องถามเธอก่อนทุกครั้ง” เราก็อ่อ...มาดามก็มาดามวะ เลยเป็นที่มาของ ชีวิตน้อย ๆ ของมาดามคนหนึ่ง ใน ทวีปแอฟริกา(อันไกลโพ้น) เช้ามาก็ต้องแหกขี้ตาตื่นมาเปิดบ้านให้แม่บ้าน พอนางมาถึงปั๊บก็ลงมือทำความสะอาดแบบ non-stop ได้ยินเสียงก๊องแก๊ง ๆ แอบไปส่องดู ขยันมาก ๆ บอกเลย กลับมานั่งยิ้มซักพัก นึกในใจ บ้านคงจะสะอาดเอี่ยมอ่องแน่วันนี้ โจเซฟีน ทำสะอาดครัวเสร็จแล้ว เวลายังเหลือนางมาถูบ้านต่อ (ขอบอกว่าคนที่นี่ไม่กวาดบ้านนะคะ แต่หยิบผ้ามาถูเลย) ก่อนจะลงมือถู เดี๋ยว ๆ ก่อนนะ นี่มันผ้าอเนกประสงค์รึยังไง??? คือผ้าที่นางใช้เช็ดตู้ เช็ดโต๊ะเมื่อกี้นี้ เอามาถูพื้นได้ด้วย ดีนะบอกไว้ก่อนว่าจานไม่ต้องเช็ด ไม่งั้นคิดว่าคงจบเบ็ดเสร็จที่ผืนเดียวกันนี่แหละ อ่า...เย็นนี้ไปซื้อของอีกรอบ ได้ไม้ถูพื้น กับผ้าเช็ดของอีก 3-4 ผืน สรุปว่าพอใจกับการทำงานของนางนะ ตกลงจ้างโจเซฟีนนี่แหละทำงานบ้าน สะอาดดี ไม่พูดมาก ชอบ



              วันพุธนี้ขอร้องเลย ห้ามแขกคนมาเยี่ยมมาเยือน มาเช็คบ้าน เช็คน้ำ ไฟฟ้า ส้วม หรือใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะ มีนัดกับทางสถานฑูตไทย โทรไปตั้งแต่วันก่อน แต่คุณเจ้าหน้าที่ยังติดภาระกิจที่แทนซาเนีย เลยตกลงว่าเป็นวันพุธนี้นะคะ ตื่นแต่เช้าแต่งตัวให้ดูเป็นผู้เป็นคนเสร็จแล้วโทรเรียกแท๊กซี่ ให้ที่อยู่บุ๊ป แท๊กซี่พาขับชมวิวไปเรื่อย ๆ ตามทาง ตอนนี้สายแล้วรถไม่ติด สถานฑูตไทยตั้งอยู่ Rose Avenue มีป้ายตรงทางเข้า เข้าไปอีกนิดหน่อยเจอธงชาติไทยใหญ่ ๆ ตั้งอยู่ด้านหน้าใช่เลย แท๊กซี่ไปจอดรอด้านใน เราก็เดินเข้าไปแจ้งชื่อผู้ที่เรามาเข้าพบ มาสถานฑูตไทยก็มาลงทะเบียนคนไทยค่ะ เจ้าหน้าที่ ข้าราชการในสถานฑูตให้การต้อนรับ ให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตต่าง ๆ เป็นอย่างดีมาก ๆ(ต้องขอกราบขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วย) ที่สถานฑูตเราได้เจอกับอีก 2 คนไทย คนนึงยังเป็นหนุ่มน้อยอยู่เลย ทำงานเป็นนักธรณีวิทยาอยู่ที่ประเทศ รวันดา และ พี่ชายอีกคนเป็นนักธุรกิจมาติดต่อซื้อขายพลอย ทั้งคู่มาต่อวีซ่า เลยได้มีโอกาศมาเจอกันที่สถานฑูตด้วย นอกจากนี้ยังมีเซอร์ไพรส์ ได้ตามติดไปทานอาหารและแวะซื้อข้าวของกับทางเจ้าหน้าที่สถานฑูตด้วย(ไปมาหลายประเทศ มีที่นี่ให้ความรู้สึกอบอุ่น คนไทยไม่ทิ้งกันมากๆ) กลับถึงบ้านนั่งยิ้มปลื้มปริ่ม ดีใจได้เจอคนไทย พูดภาษาไทย และ กินอาหารไทย ในต่างแดน^^



คำแนะนำในการใช้ชีวิตโดยรวม ๆ คือ

  1.  ผูกมิตรกับยาม หรือ รปภ.ให้ดี ๆ เพราะบางทีเค้าก็เป็นสายให้โจรมาปล้นเรา(กรรม!!!)
  2. แม่บ้าน ต้องระวัง บางทีจะแอบเอาน้ำตาล ชา ของกิน ผงซักฟองสบู่ บลา บลา กลับบ้าน
  3. สิ่งของมีค่าแม้กระทั่งเก็บอยู่ในบ้านก็ควรเก็บให้ดีให้มิดชิด
  4. นั่งในรถให้ล็อค เก็บกระเป๋าให้ดี ๆ ถ้าจะใช้โทรศัพท์ให้ปิดกระจกรถก่อนใช้ พยายามอย่าใส่ของมีค่า เป็นตู้ทองเคลื่อนที่
  5. ระมัดระวังตัว ไปกินข้าวร้านอาหารอย่าเที่ยวเอากระเป๋าวางไว้ทั่วให้หนีบไว้กับตัว
  6. ไปห้าง ไปซื้อของ ให้รีบซื้อเสร็จแล้วรีบกลับ อย่าเดินเล่นอ้อยอิ่งอยู่นาน
  7. ถ้าโดนจี้ชิงรถก็ปล่อย ๆ ให้เขาเอาไปเถอะ อย่าไปหวง อย่าสู้ขัดขืน
  8. เวลาสั่งงานหรือบอกอะไรคนที่นี่ต้องบอกให้เคลียร์ อย่าให้เขาคิดเองเออเอง ผลลัพธ์ที่ได้ อาจจะคนละอย่างกับที่เราคิด

            และคำแนะนำอีกมากมาย ต้องค่อย ๆ เรียนรู้กันไป แต่โดยรวมคนที่นี่ก็อัธยาศัยดีนะ ยิ้มแย้ม ทักทาย ขี้อาย แต่งเนื้อแต่งตัวดี(ไม่มีลากฟองน้ำ ขาสั้นไปตามสถานที่ต่าง ๆ หรือ ใส่ชุดนอนออกนอกบ้าน) ฯลฯ และ ต้องขอขอบพระคุณมาก ๆ สำหรับทุกคำแนะนำ “ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ เราก็ไม่ควรจะประมาท”



              ช่วงเวลาว่าง ๆ ที่อยู่บ้าน ก็จะมีช่างน้ำ ช่างไฟ ช่างประตู และ อีกสาระพัดช่าง รวมทั้ง caretaker แวะเวียนมาดู มาซ่อม มาเช็คงาน มาแก้แบบ ไหนจะต้องติดต่ออินเตอร์เน็ต และ โทรศัพท์เข้าบ้าน เปิดบัญชีธนาคาร ทำใบขับขี่ ขอบัตรประจำตัวฯลฯ เรียกว่าช่วงสัปดาห์แรกนี้ ชีวิตค่อนข้างวุ่นวายน่าดู (โดยเฉพาะใบขับขี่ได้ข่าวว่าใช้เวลา 3-6 เดือนเชียวนะกว่าจะได้.....ร้อง ป๊าด!!! ในใจเบา ๆ)


จบปิ๊ง week แรก ขอเวลาพักผ่อน ศึกษาสถานที่ไปพลาง ๆ แล้วเดี๋ยวจะทยอยอัพเดทวิถีชีวิตที่นี่ให้ดูเป็นระยะ ๆ ส่วนเรื่องโรงเก็บเครื่องบินภาคจบ ขอยกยอดไว้ก่อน(เพลียมาก)