Tuesday, January 26, 2016

Nairobi half day tour : ลัดเลาะไนโรบี ชมบ้าน สวน ดูยีราฟ ครึ่งวันก็เที่ยวได้


วันอาทิตย์ ตื่นสาย ๆ ตั้งใจไว้ว่าจะไปเยี่ยมชม Giraffe Center ให้ได้ ถึงแม้แดดจะแรงเปรี้ยงก็ไม่หวั่น อยู่เมืองไนโรบี แดดแรงมากก็จริงแต่ถ้ายืนใต้ร่มไม้ หรือ ในร่ม ก็จะเย็นสบาย ไม่อบอ้าว ว่าแล้วก็เปิด google maps นำทางเราไป ระยะเวลาโดยประมาณก็ 40 นาที ทั้งที่ไม่ไกลจากคอมพาวด์ที่เราอยู่ ระหว่างทางก็แวะซื้อเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว และ ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เพราะ ไนโรบี บทจะรถติดนี่แสนสาหัสกว่า กทม. หลายเท่านัก เลยต้องเตรียมพร้อม


  
ขับรถอ้อมไป อ้อมมา ในที่สุดก็ถึงซะที Giraffe Center ข้างในมีที่จอดรถนิดเดียว โชคดีที่ช่วงบ่ายเริ่มมีคนออกไปแล้วบ้าง เลยพอหาที่จอดรถได้ ลงรถปุ๊ป บรรยากาศค่อนข้างร่มรื่น มีต้นไม้เต็มไปหมด แล้วก็มีลมพัดเอื่อย ๆ เย็น ๆ (ง่วงนอนทันที ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะตื่น) 



ลงรถแล้วก็รีบปรี่เข้าไปต่อคิวซื้อบัตร จะมีตรวจกระเป๋า ตรวจ sucurity เล็กน้อย ไม่ต้องตกใจ เพราะทุกที่ในไนโรบี ตรวจหมดทั้งรถ ทั้งกระเป๋าก่อนจะเข้าไปยังอาคาร สถานที่ต่าง ๆ เสมอ



สนนราคาค่าตั๋ว จะบอกว่าถ้าเป็น resident นี่ถูกมาก กอ ไก่ ล้านตัว แต่ถ้าราคาต่างชาติปุ๊บต่างกันหลายเท่า แต่ก็ถือว่าเป็นการช่วยสนับสนุนยีราฟไป



บรรยากาศข้างในร่มรื่นมาก มีต้นไม้แผ่ให้ร่มเงา มี snack bar ขายเครื่องดื่ม+ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ พร้อมกับโต๊ะ เก้าอี้ ให้นั่งพักผ่อน นั่งกินขนมกันเพลิน ๆ และ ลมพัดเอื่อย ๆ ตลอดรายการ


ส่วนอีกฟากนึงก็จะมีนักท่องเที่ยวยืนรุมให้อาหาร และ เซลฟี่กับ ยีราฟอยู่ ซึ่งเราก็คือหนึ่งในนั้น ha~ha





เซลฟี่กันเข้าไป



แล้วก็หันไปเจอน้องหมูป่า ซึ่งน้องก็พยายามนำเสนอตัวเองนะ แต่....แต่คนก็สนใจแต่ยีราฟอยู่ดี




นางก็เลยงอล


หมูป่าที่นี่มีชีวิตที่น่าอิจฉานะคะ เพราะคนที่นี่ไม่ล่าหมูป่ามากิน ดังนั้นตลอดเส้นทางที่ขับรถมายัง Giraffe Center เราจะเห็นหมูป่าวิ่งข้ามถนน ผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ตลอด 2 ข้างทาง


หลังจากเซลฟี่กันจนหนำใจ (ถ่ายไปเป็นร้อย...แต่ใช้อวดชาวบ้านได้จริง ๆ ไม่ถึง 3 รูป) เราก็จะขึ้นไปดูบนหอจัดแสดงด้านบน ซึ่ง Giraffe Center นี้ถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 1979 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์ยีราฟพันธุ์ Rothschild ซึ่งในปัจจุบัน Giraffe Center ก็เป็นทั้งศูนย์การเรียนรู้  และ รักษาพันธุ์ยีราฟ





ส่วนด้านใน นอกจากจะมีการจัดแสดงให้ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับยีราฟ และ สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในระบบนิเวศน์ท้องถิ่นแล้ว ก็ยังมีการจัดแสดงโชว์ ภาพวาดระบายสี เรียงความ หรือ artworks ต่าง ๆ ของเด็กนักเรียน (มีจัดประกวดผลงานด้วยหล่ะ)







เดินอ้อมมาเรื่อย ๆ ด้านในก็จะมีคุณเจ้าหน้าที่ยืนอธิบาย ให้ความรู้ และ ตอบข้อซักถามต่าง ๆ ให้กับนักท่องเที่ยว





ตรงนี้มีหุ่นจำลองยีราฟ แล้วจับผ่าซีก ก็จะเห็นหัวใจยีราฟอยู่ตรงเหนือท้อง











และก็มีกะโหลกหมูป่า ของจริงให้ทดลองได้ถือ จับดูใกล้ ๆ (ใหญ่กว่าหัวคน)


นั่งฟังเจ้าหน้าที่อธิบายจนมึนแล้ว ขอออกไปข้างนอกมั่งดีกว่า ตรงระเบียงด้านนอกจะมีน้อง ๆ ยีราฟชูคอ คอยงาบอาหารจากนักท่องเที่ยว โดยมีเจ้าหน้าที่ยืนแจกอาหารเม็ดอยู่ตรงหัวบันไดทางขึ้น



จากมุมนี้เราจะเห็นความสูงของคน และ ยีราฟอย่างชัดเจน



ระเบียงหอจัดแสดงเราสามารถยืนให้อาหารยีราฟได้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ยืนประกบยีราฟแต่ละตัวที่ยื่นหน้ามาทักทาย และ กินอาหารจากนักท่องเที่ยว



พร้อมกันแล้วใช่ไม๊คะ ยีราฟพร้อม!!! คนพร้อม!!! งั้นเราไปให้อาหารยีราฟกันค่ะ




นี่คือการให้อาหารยีราฟที่ถูกต้องนะคะ ใส่มือยื่นให้ตรง ๆ ทางด้านหน้ายีราฟเลยค่ะ แล้วก็อย่าพยายามยืนด้านข้างถ่ายเซลฟี่ไม่ดูตาม้าตาเรือ เพราะยีราฟมองไม่เห็นด้านข้าง ๆ ค่ะ (กลอกตาบนล่างไม่ได้เหมือนคน) ตรงนี้เจ้าหน้าที่จะคอยเตือนเสมอ ๆ และโปรดสังเกตว่าหัวยีราฟใหญ่กว่าหัวคน ถ้าหัวโขกกันขึ้นมาก็ไม่แน่ใจว่ายีราฟ หรือ คน ที่จะต้องเจ็บ!!!


ส่วนรูปนี้โปรดสังเกตที่ลิ้นยีราฟนะคะ ยาวมาก สามารถที่จะยื่นลิ้นมารับอาหาร หรือ ม้วนลิ้นก็ได้อีกด้วย ลิ้นยีราฟจะนุ่ม ๆ สาก ๆ หน่อย แต่ขนตรงปาก ตรงแก้มนุ่มนิ่มดีค่ะ เวลาให้อาหารมีน้ำลายหนืด ๆ หืน ๆ ติดมานิดหน่อยพอเปียก ๆ และที่สำคัญ ยีราฟตาหวาน กลม โต สวยขนตางอนมาก ๆ



จากระเบียงที่เรายืนให้อาหารยีราฟ ถ้ามองออกไปในเขตห้ามเข้าของ Giraffe Center แล้วก็จะมองเห็นยีราฟตัวอื่น ๆ ที่พักอาศัยในศูนย์ฯ อีกเยอะแยะเลย



ให้อาหารยีราฟเสร็จแล้วเราก็ไปยังจุดล้างมือ ล้างเท้าเพื่อทำความสะอาด



ก่อนจะกลับเหลือบไปเห็นน้องเต่าพอดี เลยแวะดูซะหน่อย มีอยู่หลายตัวเลยแต่ท่าทางจะเบื่อคนมาก เลยหดอยู่ในกระดองซะส่วนใหญ่ กระดองก็ดูหนา ๆ แข็ง ๆ กว่าเต่าแถวบ้านเรา ดูแปลกดี



ขากลับ ทางออกกับทางเข้า = ทางเดียวกัน เราก็จะผ่านร้านขายของที่ระลึก ซึ่งรายได้ทั้งหมดก็ช่วยสนับสนุน Giraffe Center แห่งนี้



ว่าแล้วเราก็เข้าไปดูกันเถอะ




สินค้าที่ขายก็เหมือนกับในแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวทั่ว ๆ ไป ใน Kenya ค่ะ คือเหมือน ๆ กันไปซะหมด แต่ที่นี่ก็จะเน้นสินค้าที่เป็นสัญลักษณ์ของยีราฟมากหน่อยแค่นั้นเอง สรุป คือ ไม่ได้ซื้ออะไรเลย








เดินกลับออกมาขึ้นรถไปกันต่อ ขาออกมาอย่าลืมโชว์บัตรเข้าชม Giraffe Center ให้คุณ รปภ. ดูด้วยนะคะ ใช้ตอนเอารถออก



จบแล้วจุดแรก เดี๋ยวเราไปต่อกันที่ Karen Blixen Museum ซึ่งเป็นบ้านของ Karen Blixen ผู้แต่งหนังสือเรื่อง “Out of Africa” ภายหลังได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ และ ได้รับรางวัลมากมายหลายสาขา



ขับรถออกจาก Giraffe Center มาซักประมาณ 10 นาที ก็จะพบกับ บ้านทรายทอง เห้ย!!! บ้านของ Karen Blixen ซึ่งในปัจจุบันถูกทำเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเยี่ยมชม 











ขับรถเข้าไปก็จะมียามโบกรถให้ไปจอดใต้ร่มไม้ใหญ่ แล้วก็เดินตามทางเข้าไปสู่ตัวบ้าน ซึ่งมีการจัดแต่งสวน ปลูกต้นไม้ ทำสนามหญ้า บรรยากาศดีมาก เหมาะสำหรับมาถ่ายพรีเว้ดดิ้งที่สุด








ตัวบ้านถูกจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยพยายามรวบรวม ข้าวของเครื่องใช้ และ คงสภาพให้เหมือนสมัยที่ Karen ยังคงอาศัยอยู่ที่นี่ไว้ให้มากที่สุด



ต้องเดินอ้อมไปซื้อตั๋วเข้าชมที่ด้านหลังนะคะ ประตูเข้าก็อยู่ด้านหลัง แต่แบบห้ามถ่ายรูปภายในบ้านซะงั้น บ้านก็หลังไม่ใหญ่ มีข้าวของเครื่องใช้เก่า ๆ และตู้โชว์ผลงานต่าง ๆ ของ Karen เต็มไปหมด นอกจากหนังสือเรื่อง “Out of Africa” แล้ว Karen ก็ยังเขียนหนังสือไว้อีกหลายเรื่อง


ถ่ายรูปในบ้านไม่ได้ หลังจากชมข้างในเสร็จก็ออกมาเดินถ่ายรูปรอบ ๆ บ้านแทนดีกว่า


ถ่ายย้อนแสงมั่ง อะไรมั่ง ขอปรับสีให้ได้เห็นรายละเอียดในรูปชัดขึ้น




วิวด้านหลังบ้านเป็นภูเขา



มุมบ้านทางด้านหน้าจัดทำเป็นร้านขายของที่ระลึกเล็ก ๆ



สนามหญ้าทางหน้าบ้าน จะมีปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้รอบ ๆ สนาม แล้วก็จะมีจัดแสดงเครื่องมือทำฟาร์มสมัยเก่า รถไถ ฯลฯ เข้ามาทำไร่กาแฟที่นี่ ส่วนตามมุมต่าง ๆ ใต้ต้นไม้ จะมีการตั้งวงพูดคุยจิบชา บ้างก็มีนอนกลิ้ง ๆ ไปตามสนามหญ้า แต่ส่วนมากมักจะเดินถ่ายรูป


ถ้าเครียด ๆ ได้มาเดินเล่นรับอากาศบริสุทธิ์ ชมต้นไม้ ดอกไม้ จิบชา คือเป็นอะไรที่ผ่อนคลายมาก


ตอนนี้เราเดินกันทั่วแล้วนะคะ เดี๋ยวก็จะขับรถกลับ แล้ว แวะหาอะไรกินระหว่างทาง





ออกจากบ้าน Karen Blixen แล้ว ก็ขับรถมาไม่ไกลมากซัก 15 นาที เพื่อไปยังร้านอาหาร The Talisman เปิดตั้งแต่เช้ายันดึก บรรกากาศตกแต่งแบบในสวน ช่วงค่ำ มื้อ dinner ถ้าไม่จองโต๊ะไว้ อาจจะมาเก้อ เพราะ คนแน่นมาก






อาหารก็มีให้เลือกหลากหลาย แต่ ดนตรีสดที่เล่นตอนช่วงบ่ายแก่ ๆ 
นี่ไพเราะมาก



เนื่องจากไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ เลยสั่งเป็นอาหารกินเล่น ๆ จานที่เป็นกุ้งในเมนูบอกว่าเป็นซอสแบบไทยคลาสสิค ลองแล้วอร่อยดี ส่วนเครื่องดื่มสั่ง Iced tea lemonade : คือในหนึ่งแก้วจะมี น้ำ lamonade อยู่ครึ่งนึง แล้วก็ใส่ Iced tea ลงไปอีกครึ่งที่เหลือ (half&half) เวลาเสริฟก็จะเป็นน้ำแยกสีกันมา แต่ที่นี่คนเป็นสีเดียวกันมาก็ไม่เป็นไร ในอเมริการู้จักเครื่องดื่มชนิดนี้กันดีในชื่อ “ Arnold Palmer ” เนื่องมาจากนักกอลฟ์ชื่อดัง Arnold Palmer ดื่มเครื่องดื่มนี้เป็นประจำ คนก็เลยสั่งเครื่องดื่มนี้ตามชื่อของเขา และ ใช้เรียกกันติดปากต่อ ๆ มานั่นเอง ว่าแต่ว่า ไปไงมาไงถึงมาลงที่เรื่องเครื่องดื่มได้ล่ะเนี่ย เกี่ยวกันไม๊??


ท้องอิ่มแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับกันแล้วหล่ะ นี้คือวิวระหว่างทาง จะมีลานกว้าง ๆ เป็นลานเอนกประสงค์ คือ ลานเดียว ใช้ทั้งจอดรถ เลี้ยงวัว ขายของ นอนหลับ และ เตะฟุตบอล สารพัดประโยชน์มาก


คนที่นี่ชอบเตะฟุตบอลมากเลยนะคะ ไปไหนมาไหนก็มักจะเห็นเสมอ ขอลาไปด้วยภาพนี้ก็แล้วกันนะคะ ซูมถ่ายจากบนรถ